.

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วัยรุ่นไทยกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์

วัยรุ่นไทยกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์
           ปัจจุบันกระแสนิยมของวัฒนธรรมเกาหลี หรือ เกาหลีฟีเว่อร์ มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นไทยเป็นอย่างมาก ทำให้วัยรุ่นไทยรับอิทธพลต่างๆมาจากเกาหลี
 
          อิทธิพลวัฒนธรรมเกาหลีที่มีต่อวัยรุ่นไทยเช่น วัฒนธรรมการแต่งกายตามศิลปิน ดาราเกาหลีที่ตนชื่นชอบ นอกจากนี้ยังเกิดความสนใจที่จะเรียนภาษาเกาหลีเพิ่มขึ้น เพื่อให้รู้เนื้อหาในภาพยนตร์ ละคร และเพลงที่ตนชื่นชอบ

        
         แต่ถึงอย่างไรกระแสนิยมของวัฒนธรรมเกาหลีอาจจะมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นไทยบ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัวที่ต้องให้ความสำคัญดูแลเอาใจใส่ อบรมสั่งสอนบุตรของตน เปิดกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของเด็ก เข้าใจความเป็นไปของโลกปัจจุบัน ต้องคอยดูแล อบรมสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของสิ่งที่ดีงาม และไม่ทำลายวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่าที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน

วัยรุ่นกับนิยาย

 เรื่องสั้นเรื่อง : วัยรุ่นกับนิยายเกาหลี



วัยรุ่นกับนิยายเกาหลี
บางทีการเฝ้ามองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง และต้องย้อนมองดูตัวตนในสังคมบ้านเราด้วย เช่นเดียวกับรสนิยมการอ่านหนังสือในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ในประเทศของเราทุกวันนี้ ใครที่เคยไปเที่ยวงานสัปดาห์แห่งชาติครั้งที่ผ่านๆ มา จะเห็นว่าบางสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์นิยายเกาหลีออกมาขายนั้น มีนักอ่านวัยรุ่นชายหญิงเบียดเสียดและเข้าคิวซื้อหนังสืออย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นความจริงที่ทำให้วงการหนังสือ รวมทั้งนักเขียนและสำนักพิมพ์ในบ้านเมืองเรา ถึงกับตะลึงและพยายามค้นหาความจริงว่า มันเป็นเพราะอะไร และทำไมกระแสวัฒนธรรมจากเกาหลีจึงหลั่งไหลเข้ามาอย่างเชี่ยวกราก

ดังนั้น การค้นหาความจริงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ควรอย่างยิ่งที่จะต้องไม่มีอคติใดๆ กับยุคสมัย....โดยเฉพาะยุคสมัยของเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ ที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวัฒนธรรมมากมาย ทั้งจากซีกโลกตะวันตกและตะวันออก ซึ่งมันเข้ามาได้หลายทาง และในโลกของดิจิทัล ก็ไม่มีสิ่งใดๆ จะสามารถสกัดกั้นได้เลย

แต่ควรจะยอมรับความจริง มากกว่าการต่อต้านหรือปฏิเสธ และที่สำคัญก็คือไม่ควรหลอกตัวเองอย่างเด็ดขาด ใครที่เคยดูละครเกาหลี น่าจะให้คำตอบได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเพราะอะไร จึงทำให้วัยรุ่นไทยหันไปอ่านหนังสือนิยายเกาหลีกันมากมาย และการที่ละครหรือหนังชุดจากเกาหลี เข้ามายึดครองบนจอแก้วในประเทศของเรา โดยสามารถจะตรึงใจคนดูได้อย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้ผู้ผลิตหนังไทยและละครไทยบางเรื่อง ถึงกับต้องสร้างผลงานออกมาให้มีบรรยากาศแบบเกาหลีเลยทีเดียว

ถ้ามองด้วยความยุติธรรมแล้ว ต้องยอมรับนะครับว่า งานศิลปะการแสดงแขนงนี้ของเกาหลีนั้น ไม่ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างพล็อตเรื่อง และเนื้อหา หลายๆ เรื่องต้องบอกได้เลยว่าสุดยอด เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกเลย ที่มีคนดูติดกันอย่างงอมแงม จนทีวีทุกช่องในบ้านเราต้องมีหนังหรือละครเกาหลีไม่มากก็น้อย

หนังสือนิยายเกาหลีก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่นักอ่านวัยรุ่นไทยให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม และสามารถยึดตลาดวงการหนังสือแปลไว้ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แม้ว่าผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองว่า นิยายเกาหลีส่วนมากนั้น เนื้อหามีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือไร้สาระก็ตาม แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้ว....แง่มุมความรักต่างๆ ที่ถูกนำเสนอผ่านออกมาในนิยายเหล่านั้น แท้จริงแล้วก็คือภาพสะท้อนยุคสมัยของเขา และวัยของเขาซึ่งกำลังเป็นวัยรุ่นนั่นเอง

ในนิยายรักเกาหลีหลายๆ เรื่อง เหมือนจะพูดแทนใจกลุ่มคนอ่านวัยรุ่น ซึ่งเป็นภาษาที่สื่อสารกันอย่างเข้าใจ แน่นอนเนื้อหาสาระอาจจะไม่ขั้นต้องปลุกให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติ แต่แง่มุมความรักที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนวัยนี้สามารถมองเห็นได้ เข้าใจได้ และเป็นโลกเฉพาะที่สัมผัสได้นั่นแหละ จึงทำให้คนอ่านในช่วงวัยรุ่นรับสารได้ง่ายๆ และยังโดนใจอีกด้วย

นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย ถ้าหนุ่มสาววัยรุ่นไทยจะหันไปอ่านนิยายเกาหลีกันมากมาย เพราะความจริงก็คือไม่มีนิยายไทยจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ดีกว่า หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถจะสื่อสารกับเขาได้

แต่ที่แปลกก็คือ ทุกวันนี้มีนักเขียนไทยบางคน เขียนนิยายรักโดยใช้ชื่อนามปากกาเป็นภาษาเกาหลีแล้วนะจะบอกให้!




วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วัยรุ่นกับความรุนแรง


วัยรุ่นกับความรุนแรง

       นับจากต้นปีที่ผ่านมา จะมีข่าวที่วัยรุ่นก่อความรุนแรงมากมาย  เช่น ข่าวที่วัยรุ่นใช้ปืนยิงเพื่อนนักเรียนเสียชีวิต  ยกพวกตีกันระหว่างสถาบัน  และล่าสุด คือเมื่องานคอนเสิร์ตทรัพย์สินทางปัญญา ได้มีวัยรุ่นประมาณ  1,000  คน ยกพวกตีกันจนทำให้มีผู้เสียชีวิต  2  ราย   ปัญหาเหล่านี้ จัดว่าเป็นปัญหาทางสังคม ที่นับวันได้มีแนวโน้มที่แสดงออกถึงการทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
       วัยรุ่นเป็นวัยที่ผู้คนมักเรียกกันว่า  วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ  เพราะวัยนี้พยายามที่จะค้นหาความเข้าใจในตนเอง ยิ่งในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  การติดต่อสื่อสารทำได้อย่างรวดเร็ว  ส่งผลให้โลกทัศน์ของวัยรุ่นกว้างขึ้น  บางคนก็ค้นพบตนเองในทางที่ถูกต้อง  แต่บางคนกลับหันเหไปในทางที่ผิด ทำให้เป็นบ่อเกิดของปัญหาที่เราเห็นในปัจจุบัน
       ถ้าจะวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นในขณะนี้  คิดว่าคงจะมีสาเหตุมาจากหลายๆด้าน  ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของวัยรุ่น  สภาพครอบครัว  สภาพสังคมต่างๆ ที่เป็นตัวหล่อหลอมพฤติกรรมของวัยรุ่นผ่านสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์  วีดีโอ  เกม  ที่ล้วนมีผลต่อความรุนแรง  เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึก โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
       สิ่งสำคัญที่สุดที่จะบ่งชี้ถึงพฤติกรรมของวัยรุ่น  ก็คือครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของวัยรุ่น    ครอบครัวจะเป็นหน่วยพื้นฐานที่คอยเสริมสร้างประสบการณ์ของเด็กเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น  ความสัมพันธ์กับบุคลในครอบครัวจะยุ่งยากสลับซับซ้อนมากขึ้น และมักจะเกิดปัญหาขัดแย้งกันเสมอๆ  เราจะสังเกตได้ง่ายๆ ว่าวัยรุ่นเริ่มมีความรู้สึกอยากเป็นอิสระ   ไม่อยากให้ใครมาบังคับ และต้องการเป็นตัวของตัวเอง  ดังนั้นส่วนสำคัญที่สุด คือพ่อ แม่ ที่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก  ควรให้คำปรึกษา เข้าใจในชีวิตของเด็กวัยนี้  ไม่ขัดขวาง ห้ามในสิ่งที่เขาต้องการค้นหา แต่ควรให้คำปรึกษาที่ดี  เพราะเด็กวัยนี้ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
       โดยทั่วไปแล้วเด็กวัยรุ่นมักจะเกิดความขัดแย้งกับพ่อแม่เสมอ ทำให้หันเหชีวิตไปหาเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มเพื่อนจึงเป็นสิ่งแวดล้อมที่วัยรุ่นให้ความสำคัญเหนืออื่นใดจึงเกิดการเกาะติดความเป็นพรรค เป็นพวก สืบเนื่องไปจนถึงความเป็นสถาบัน  และยึดถือปฏิบัติกฎเกณฑ์ที่รุ่นพี่ในสถาบันตั้งขึ้น  เราจึงเห็นกลุ่มวัยรุ่นต่างสถาบันยกพวกตีกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่  รุ่นพ่อ สืบมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน 
       จากสาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหา  ทำให้เราเห็นว่าครอบครัวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ในการปลูกฝังอบรมเด็กสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้แก่เด็กเมื่อเขาโตขึ้นและย่างเข้าสู่วัยรุ่น พ่อ แม่ต้องเป็นส่วนสำคัญในการชี้แนวทางการดำเนินชีวิต การแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยวิธีที่ถูกต้อง  และต้องเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของวัยรุ่น   ไม่ดุด่า  หรือปล่อยจนเกินไป  เพราะสาเหตุเหล่านี้จะทำให้วัยรุ่นกลายเป็นคนที่ก้าวร้าว  และตีตัวออกห่างจากครอบครัว ไปมั่วสุมกับเพื่อนๆ และเลือกเดินในแนวทางที่ผิดจนกลายเป็นปัญหาของสังคมอย่างที่ปรากฏในปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วัยรุ่นกับกการมีเพสสัมพันธ์

ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ/จากหนังสือคู่มือ เลี้ยงลูกถูกวิธีชีวีเป็นสุข” 

             เพศสัมพันธ์ เพศสัมพันธ์ เพศสัมพันธ์ เป็นคำที่ต่างเพศต่างวัยต่างสถานการณ์ ฟังแล้วรู้สึกไปได้หลายแบบหลายอย่างจนแทบไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา เป็นเรื่องที่คู่กับคนมาตั้งแต่มีคนเกิดขึ้นในโลกนี้คู่แรก จนขณะนี้คนก็สืบพันธุ์แพร่ขยายจนพลเมืองโลกมีประมาณ 6 พันล้านแล้ว ทำไมเพศสัมพันธ์จึงยังเป็นอะไรที่ไม่เข้าที่เข้าทางหรือทำไมคนทั้งโลกจำนวนไม่น้อยเลยยังไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเอง ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน เป็นทุกข์ใจทุกข์กาย หรือเหตุใดคนจำนวนหนึ่งยังคงมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่เหมาะสม คือไม่เพียงแต่จะทำความเดือดร้อนใจและกายอย่างแสนสาหัส เหมือนแต่โบราณมาเท่านั่น เพศสัมพันธ์ในปัจจุบันยังอาจนำไปสู่ความตายได้ เช่น ตายจากโรคเอดส์ ตายจากการฆ่ากันด้วยความแค้น ความหึงหวง ความตาย! ใครๆ ก็กลัว ใครๆ ก็ไม่อยากตาย ทุกคนจึงน่าจะหันมาสนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ให้มากจะได้ไม่เดือดร้อน จะได้ไม่ต้องตายโดยไม่จำเป็น เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วกว่าจะฝ่าฟันชีวิตจนโตพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ก็นับว่าเป็นชีวิตที่แสนจะมีค่า เราจึงต้องทะนุถนอมชีวิตและจิตใจของเราเองเพื่อตัวเรา เพื่อคนที่เรารัก และเพื่อคนที่รักเรา และเพื่อคนที่รักเราด้วยจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีงามและสบายใจด้วยกันทั้งหมด


ผู้เขียนเป็นจิตแพทย์จึงมีโอกาสพบเห็นวัยรุ่นที่เดือดร้อนจากเรื่องเพศสัมพันธ์มาเล่าให้ฟัง เช่น


             วัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเรียนอยู่ ปวช. ปีสุดท้ายได้กินยาจำนวนมากเพื่อฆ่าตัวตาย หนีปัญหาชีวิตเพราะความเครียดจัด และมองไม่เห็นทางออกอย่างอื่น คงโชคดีสักนิดที่วิธีฆ่าตัวตายไม่รุนแรง แพทย์จึงช่วยชีวิตไว้ได้เพราะยาที่กินบังเอิญสามารถแก้ฤทธิ์ได้ แต่ยาบางชนิดที่กินโดยผู้พยายามฆ่าตัวตายบางคนแพทย์จะช่วยไม่ได้ ผู้เขียนจึงถูกตามเพื่อช่วยแก้ปัญหาของเด็กสาวผู้นี้ ไม่เช่นนั้นถ้าแพทย์ปล่อยให้เธอกลับบ้านทั้งๆ ที่ยังแบกปัญหาอยู่ เด็กสาวผู้นี้อาจกลับไปฆ่าตัวตายซ้ำอีกได้
             จากการสัมภาษณ์พูดคุยพบว่า วัยรุ่นผู้นี้ท้องถึง 6 เดือนกว่าแล้ว แฟนหนุ่มซึ่งเป็นนักเรียนเช่นกันไม่ยอมรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ทำตัวหายหน้าหายตาไปเลย หลบเลี่ยงไม่ยอมมาพบเจอทั้งสิ้น ฝ่ายหญิงก็พยายามหาทางออกโดยบุกบั่นไปถึงบ้านพ่อแม่ของแฟนหวังพึ่งผู้ใหญ่ให้ช่วยแก้ปัญหา แต่เธอกลับได้รับความช้ำใจยิ่งนัก เพราะพ่อแม่แฟนกลับบอกว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอท้องกับลูกชายของเขา เธออาจไปท้องกับใครมาก็ได้แล้วจะมาให้ลูกชายเขารับเป็นพ่อ เธอจึงเสียใจมากที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ในที่สุดท้องก็โตขึ้นทุกวันไม่สามารถจะปิดบังได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจนำเรื่องไปปรึกษาพ่อแม่ตัวเอง พ่อแม่ของเธอก็เช่นกันไม่เป็นที่พึ่งได้กลับด่าว่าลูกสาวตัวเองมากมาย เช่น แม่ว่าส่งให้เรียนหนังสือ ทำไมใจง่ายไปเที่ยวนอนกับผู้ชายจนท้อง ไม่รักดี ใจง่าย โง่ ปล่อยให้ผู้ชายหลอก “ฟัน” เล่นๆ แล้วสลัดทิ้งแบบไม่ใยดี แบบไม่มีค่าอะไรเลย พร้อมบอกว่าพ่อแม่ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ผูกเองก็แก้เอง ถ้าปล่อยให้ท้องก็ไม่ต้องเรียนหนังสือต่อแล้ว พ่อแม่จะไม่ส่งเรียนต่อ ถ้าจะเรียนก็ต้องไม่ท้อง พ่อแม่เองก็ฐานะไม่ดีมากเงินทองก็มีจำกัด ถ้าปล่อยให้ท้องต่อก็ไม่มีปัญญาจะเลี้ยงหลานให้ คือไม่ต้องการเด็กในท้องอย่างแน่นอน
             วัยรุ่นสาวผู้นี้อายุยังไม่ครบยี่สิบปี ยังมีความอ่อนต่อโลกมากนัก เมื่อพบความเครียด ความทุกข์ ปัญหาหนักขนาดนี้ หันหน้าไปไหนก็ไม่มีใครช่วย แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองก็ไม่ช่วย จึงรู้สึกสับสน เสียใจ ผิดหวังซ้ำซ้อน ไม่มีทางออกจึงคิดจบปัญหาด้วยความตายนั่นเอง เพราะจะไปทำแท้งก็ไม่มีเงินพอ อีกทั้งท้องก็มีอายุมากเกินกว่าจะทำแท้งได้แล้ว อันตรายเกินไป
             จิตแพทย์ฟังแล้วสามารถเข้าใจถึงความกดดันที่เด็กสาววัยรุ่นผู้นี้ได้รับ จึงคิดปรึกษาหาทางออกด้วยกันว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตตัวเองและลูกเพื่อแก้ปัญหา เพราะมีมูลนิธิที่สังคมได้ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะ เธอสามารถไปอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งคลอดลูก แล้วทางมูลนิธิจะรับเลี้ยงลูกให้จนกระทั่งหาพ่อแม่ที่จะมารับไปเป็นลูกบุญธรรมต่อไป ส่วนตัวแม่เองหลังคลอดพักฟื้นแล้วก็สามารถกลับไปเรียนต่อจนจบได้ เรื่องจึงลงเอยได้ด้วยดีพอประมาณ แต่วัยรุ่นทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่เหมาะสมอาจประสบชะตากรรมร้ายแรงกว่าคนนี้ เช่น พอพบว่าท้องก็ไปพยายามทำแท้งกับหมอเถื่อน ซึ่งมีโอกาสจะติดเชื้อโรคแล้วตายจากการติดเชื้อ ซึ่งพบอยู่เป็นประจำเพราะหมอเถือนเขาทำไม่ถูกต้องเครื่องมือก็สกปรก บางครั้งก็ทำมดลูกทะลุก็มี น่ากลัวจริงๆ
             วัยรุ่นตัวอย่างที่หมอเล่าให้ฟังนี้ ไม่ใช่จะพ้นปัญหาไปอย่างไม่เหลืออะไรติดค้างในใจเพราะลึกๆ เขาอาจรู้สึกบาป ที่ได้ทอดทิ้งลูกตัวเองไป อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ฉะนั้นในอนาคตถ้าชีวิตต้องเผชิญอะไรไม่ดี เธออาจคิดผูกโยงมากับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ว่า เพราะเธอทำบาปไว้จึงต้องประสบชะตากรรมไม่ดี คิดในทำนองกรรมตามสนอง แม้ในการให้คำปรึกษา จิตแพทย์จะพยายามให้ความคิดเหล่านี้ไม่ตกค้างต่อไป เช่น พูดว่าความผิดพลาดของชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้ และการแก้ปัญหานั้นก็ดีที่สุดสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้ว ลูกที่มีคนรับไปเลี้ยง เขาก็จะมีชีวิตที่ดีกว่า เพราะเราไม่พร้อมจะเลี้ยงเขา และเขาไม่เป็นที่ยอมรับของปู่ย่าตายายและพ่อของตัวเอง จึงน่าจะปล่อยเขาไปมีชีวิตที่ดีกว่ากับคนที่พร้อมกว่า กับคนที่ยอมรับเขาและรักเขา แม่ที่ยกลูกให้คนอื่นมักจะยังมีความทรงจำเรื่องนี้อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะลืมเรื่องราวเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นได้ แต่จะทำใจได้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่อง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะดีกว่ามาก จะได้ไม่มีตราบาปในใจไปตลอดชีวิตเรื่องวัยรุ่นสาวท้องไม่มีพ่อ ท้องตอนเป็นนักเรียน หรือท้องโดยยังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่เรื่องใหม่ มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่หมอจำความได้ จนบัดนี้ทำงานมาหลายสิบปี เรื่องแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นตลอดเวลาในสังคม เกิดขึ้นจนพ่อแม่กลัว พ่อแม่บางคนกลัวมากไปพลอยทำให้ลูกสาวเดือดร้อน ขาดโอกาสในชีวิตไปเลยก็มี เช่น
             ญาติรุ่นพี่ของหมอคนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นคนหัวดีเรียนเก่ง แต่พ่อแม่ไม่ยอมให้มาเรียนต่อกรุงเทพฯ ด้วยกลัวลูกสาวจะมาเสียคนเพราะห่างไกลพ่อแม่ เนื่องจากลูกสาวข้างบ้านมาเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วก็มาท้องตอนเป็นนักเรียนนี่แหละที่ทำให้เขากลัวญาติผู้นี้ของหมอเลยหมดโอกาสที่จะได้รับการศึกษาที่ดีเท่าที่ควร ต้องใช้ชีวิตแบบหญิงชาวบ้านที่จบประถม 4 คือต่อมาก็แต่งงานมีลูกเลี้ยงลูกไปทำงานบ้านไป ชีวิตของเขาต้องขึ้นอยู่กับสามีและลูก ถ้าสามีและลูกดีชีวิตก็ดีไม่มีปัญหา ถ้าเจอสามีและลูกไม่ดีก็ต้องช้ำใจ ไม่มีทางเลือกอื่นเหลือไว้ให้มากนักคำถามจึงมีอยู่ว่า ทำไมเรื่องแบบนี้จึงเกิดแล้วเกิดอีก ป้องกันไม่ได้เลยหรือเรื่องเพศเป็นเรื่องไม่ดีหรือไม่ ไม่ใช่แน่ เรื่องเพศสัมพันธ์ก็เหมือนดาบสองคม ใช้เป็นจะดี ให้ความสุข ใช้ไม่เป็นจะเป็นทุกข์เหมือนโดนมีดบาด ดังนั้นเรื่องนี้คงเกิดจากความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ การรู้ไม่เท่าทันโลกของทั้งวัยรุ่นชายและหญิง เพราะสังคมของเราไม่มีการเรียนรู้เรื่องเพศให้เป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีการให้เพศศึกษาที่ถูกต้องให้เด็กโตขึ้นมาไปเรียนรู้เอาเองตามยถากรรม ผิดๆ ถูกๆ ตามเรื่องตามราว จึงเกิดเรื่องได้บ่อยๆ วัยรุ่นที่อยู่ห่างไกลสายตาพ่อแม่จึงมีโอกาสผิดพลาดสูงกว่าวัยรุ่นที่พ่อแม่คอยดูแลใกล้ชิด ซึ่งก็อาจใกล้ชิดจนวัยรุ่นอึดอัดจนอกจะแตกได้เช่นกันการให้ความรู้กับลูกเรื่องเพศจึงเป็นเรื่องสำคัญ ควรให้ตั้งแต่เด็กเลย (ขอเชิญผู้สนใจหาอ่านได้จากหนังสือของหมอชื่อ “เลี้ยงลูกถูกวิธีชีวีเป็นสุข” ในบท สอนลูกเรื่องเพศ) แต่ในที่นี้จะพูดเฉพาะในวัยรุ่นศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ผู้เขียน 

วัยรุ่นกับความรัก

วัยรุ่นกับความรัก

19 ก.ย.

ห่วงใยเธอเสมอ
1. วิธีการและทักษะการแก้ปัญหาที่เหมาะสมเมื่อผิดหวังในความรัก
2. ค่านิยมที่เหมาะสมในเรื่องเพศ
วิธีการและทักษะในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมเมื่อผิดหวังในความรัก
ความรักระหว่างเพศ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน พึ่งพาอาศัยกัน เป็นเพื่อนกัน ทำให้เกิดความอบอุ่น เห็นอกเห็นใจกัน เกิดความรักแบบเพื่อน พี่น้อง และแบบคนรัก ในการรักกันแบบคนรักหรือแฟนนั้นต้องอยู่ในกรอบประเพณี ศาสนา วัฒนธรรมของสังคมไทย สำหรับความรู้สึกต่อ
เพศตรงข้ามในเรื่องความรักนั้นมีหลายลักษณะที่ใกล้เคียงกัน

ความรักแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ความรักแท้ กับ ความรักเทียม ซึ่งความรักทั้งสองแบบนี้จะต่างกันมาก ความรักแท้มีแต่ความจริงใจ ซื่อสัตย์ เสียสละ ให้อภัย เอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจและความดีงามอื่นๆ อีกมากมาย แต่ความรักเทียมนั้นจะไม่มีความจริงใจ เห็นแก่ได้ ไม่ห่วงใย เสแสร้ง หลอกลวง และ
ความไม่ดีอื่นๆ อีกมากมาย

ความรักในวัยรุ่น
วัยรุ่นควรจะได้รู้และเข้าใจถึงมารยาทระหว่างเพศให้ดีเสียก่อนที่จะมีเพื่อนต่างเพศที่คบกันแบบคู่รัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องมีความสามารถในการบังคับและควบคุมจิตใจของตนเองตลอดจนมีความรับผิดชอบอยู่ในเกณฑ์ดี นั่นหมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป สุภาพ ให้เกียรติกัน การคบกันก็ควรอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ถ้าจะไปเที่ยวก็ไปเป็นหมู่คณะไม่ไปค้างคืน โดยเฉพาะไปกันเพียงสองต่อสองแล้วค้างคืนด้วยเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทั้งคู่จะต้องมีคุณธรรมประจำใจ แล้ว
ความผิดพลาดความเสียหายจะไม่เกิดขึ้น
1. รักเขาข้างเดียว
2. ถูกปฏิเสธ
3. ความหึงหวง
4. แฟนไปคบแฟนใหม่
5. แฟนสลัดรัก
6. แฟนได้แล้วทิ้ง
7. พ่อแม่กีดกันสั่งให้เลิกคบกัน

ค่านิยมที่เหมาะสมในเรื่องเพศ
เป็นสิ่งที่จะช่วยให้วัยรุ่นมีความรู้ความเข้าใจและมีจิตสำนึกที่ดีและถูกต้องในเรื่องเพศ ซึ่งมีดังนี้
1. เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติของทุกคนและเป็นส่วนที่ดีของชีวิต
2. ทุกคนมีความรู้สึกทางเพศ มีการแสดงออกต่อการกระตุ้นทางเพศ
3. เรื่องเพศนั้นครอบคลุมทั้งความรู้เรื่องสรีระ จริยธรรม ภาวะทางจิตวิญญาณ สังคม จิตวิทยา และอารมณ์
4. ต้องตระหนักถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเอง
5. ในสังคมที่อยู่ร่วมกันแต่ละคนจะแสดงออกในเรื่องเพศที่แตกต่างกัน
6. ต้องยอมรับภาวะทางเพศ ความหลากหลายในความเชื่อ และค่านิยมทางเพศที่แตกต่างกัน
7. ความสัมพันธ์ทางเพศไม่ควรเกิดจากการกดดัน ข่มขู่ หรือแสวงหาประโยชน์
8. ความสัมพันธ์ทางเพศควรอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจความซื่อสัตย์ และให้เกียรติกัน
9. เด็กๆ ทุกคนควรได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่
10. ความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดขึ้นเมื่อตนเองยังไม่พร้อมหรือก่อนวัยอันควร ย่อมมีผลกระทบตามมา
11. ทุกคนมีสิทธิและมีความรับผิดชอบในการดำเนินวิถีชีวิตทางเพศของตน
12. สังคมจะได้ประโยชน์ถ้าเด็กๆ สามารถพูดคุยเรื่องทางเพศกับพ่อแม่และผู้ใหญ่ด้วยความเชื่อถือ
13. ความสนใจในเรื่องเพศเป็นกระบวนการพัฒนาการทางเพศของเด็กเพื่อเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่
14. พฤติกรรมทางเพศที่เกินวัย จะทำให้มีความเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์สูง
15. การละเว้นการมีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์
16. วัยรุ่นที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ควรจะได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์
17. ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ต้องเป็นเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
18. ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ต้องเป็นเพศสัมพันธ์ที่รับผิดชอบ
19. ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวและมีความเป็นกุลสตรี ปัจจุบันมีวัยรุ่นหญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่รักนวลสงวนตัวและขาดความเป็นกุลสตรี ทั้งนี้เพราะสังคมเปลี่ยนไป อิทธิพลจากสื่อ การเลียนแบบ
20. ผู้ชายต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษ
21. ต้องมีความละอายและเกรงกลัว

พฤติกรรมดีไม่มีปัญหา
1. พฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย
2. ค่านิยมทางเพศที่เหมาะสมกับสังคมและวัฒนธรรมไทย
3. การหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากสถานการณ์เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย

การปรับตัวทางเพศ
1. การปรับตัวทางด้านร่างกาย
2. การปรับตัวทางด้านจิตใจ
การวางตัวต่อเพศตรงช้าม
1. การปฏิบัติตนของผู้ชาย
1.1 ไม่ล่วงเกินทางกายต่อฝ่ายหญิง
1.2 ไม่ล่วงเกินทางวาจาต่อฝ่ายหญิง
1.3 ไม่พูดหลอกลวงให้ฝ่ายหญิงตายใจหรือเชื่ออย่างสนิทใจแล้วก็หลอกให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย
1.4 ควรวางตนให้เหมาะสมและเป็นที่น่าไว้ใจแก่ฝ่ายหญิง
1.5 ผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแรงกว่า ควรดูแลปกป้องให้ฝ่ายหญิง
1.6 ควรให้ความช่วยเหลือฝ่ายหญิงเท่าที่ตนเองจะกระทำได้

2. การปฏิบัติตนของผู้หญิง
2.1 ไม่ควรแสดงทีท่าให้เห็นว่าชอบผู้ชายเป็นอย่างมาก
2.2 ไม่ควรอยากได้ของกำนัลจากฝ่ายชายบ่อยๆ โดยไม่มีเหตุผล
2.3 ไม่ควรอยู่ในที่ลับหูลับตากันตามลำพังสองต่อสอง
2.4 ไม่ควรไปเที่ยวเตร่กันตามลำพังในสถานที่ที่จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและเสียหายได้
2.5 ไม่ควรยินยอมให้ผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวเกินความจำเป็น
2.6 ในการวางตัวต่อฝ่ายชายโดยทั่วไปนั้น ต้องคำนึงถึงความเป็นกุลสตรีของผู้หญิงว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเหมาะสม

ค่านิยมที่เหมาะสมกับสังคมและวัฒนธรรมไทย
1. ทั้งผู้ชายและผู้หญิงควรมีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันตามหลักสิทธิมนุษยชน
2. ผู้ชายควรให้เกียรติและช่วยปกป้องอันตรายแก่ฝ่ายหญิง
3. การแสดงความสนใจต่อเพศตรงข้าม ควรปฏิบัติตามจารีตประเพณีของสังคม
4. ไม่ควรถือโอกาสถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามด้วยเจตนาที่จะล่วงเกิน
5. ไม่ประพฤติตนหรือแต่งตัวแบบยั่วกิเลส
6. ควรปฏิบัติตนเกี่ยวกับเรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศให้ถูกต้องตามลัทธิหรือศาสนาที่ตนเคารพนับถือ
7. การเลือกคู่ครองจะต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ
8. การที่จะอยู่กินฉันสามีภรรยากันจะต้องเข้าพิธีแต่งงานให้ถูกต้องตามจารีตประเพณีอันดีงามของสังคมไทย
9. การแสดงพฤติกรรมทางเพศระหว่างสามีภรรยาเป็นกิจกรรมส่วนตัวจะต้องกระทำโดยความเหมาะสมและถูกกาลเทศะ
10. ควรมีการจดทะเบียนสมรส
11. ไม่ควรมีพฤติกรรมทางเพศแบบน่าละอาย
12. คู่สามีภรรยาควรยึดค่านิยมแบบมีสามีและภรรยาเพียงคนเดียว

การหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากสถานการณ์เสียงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
1. เมื่ออยู่กับแฟนหรือคู่รักของตนเอง ควรปฏิบัติดังนี้
1.1 ไม่ยอมให้เขาได้สัมผัส จับมือ โอบกอดได้ง่ายๆ
1.2 ไม่อยู่ในที่ลับตาคนสองต่อสอง
1.3 ไม่ไปเที่ยวกันแบบค้างคืน
1.4 ไม่ควรดูสื่อลามก
1.5 การไปเที่ยวในงานวันสำคัญต่างๆ ที่เป็นการเที่ยวในเวลากลางคืน แล้วจะไปต่อกันในสถานที่ที่อาจจะมีเพศสัมพันธ์กันได้ควรระมัดระวังตัวให้ดี
1.6 การไปเที่ยวงานปาร์ตี้หรือตามสถานบันเทิงเริงรมย์กับแฟนก็ต้องระวังตัวด้วยเพราะอาจดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วทำให้มึนเมาไม่รู้สึกตัว
1.7 อย่าใจอ่อนถ้าเขาขอที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วย

2. เมื่ออยู่กับเพื่อนชาย ควรปฏิบัติดังนี้
2.1 อย่าให้เขามาถูกเนื้อต้องตัวโดยไม่จำเป็น
2.2 อย่าไว้ใจใครมากนัก
2.3 ไม่ไปเที่ยวแบบค้างคืน
2.4 การไปเที่ยวตามสถานบันเทิงแล้วกลับดึกอาจอันตราย ถ้ามีเพื่อนอาสาไปส่งบ้านก็ควรระวัง เพราะเขาอาจพาไปที่อื่นและอาจถูกเพื่อนทรยศได้

3. อยู่กับคนแปลกหน้า ควรปฏิบัติดังนี้
3.1 อย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเป็นอันขาด
3.2 ไม่ควรเดินทางไปในที่เปลี่ยวยามค่ำคืน
3.3 อย่าเชื่อคนที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ต

4. เมื่ออยู่กับพ่อเลี้ยงหรือญาติ ผู้หญิงที่ถูกคนใกล้ชิดในครอบครัวข่มขืนนั้นมีมากและมักไม่ยอมบอกใคร บางรายถูกข่มขืนมานานนับปี บางครั้งเกิดการตั้งครรภ์ เพราะคนในครอบครัวนั้นใกล้ชิดเห็นกันอยู่ทุกวันหรือพบกันบ่อย ไว้ใจกันมาก ในเรื่องนี้ผู้หญิงควรปฏิบัติตนดังนี้
4.1 ให้สังเกตการสัมผัสของบุคคลเหล่านั้นว่า สัมผัสด้วยความเอ็นดูแบบลูกหลาน หรือแบบชู้สาว ต้องระมัดระวังอย่าเข้าใกล้
4.2 ควรนอนในห้องที่มิดชิดใส่กลอนหรือล็อกกุญแจให้เรียบร้อย
4.3 ถ้าบุคคลเหล่านั้นมึนเมาอย่าไว้ใจ เพราะเขาอาจขาดสติ
4.4 การแต่งตัวอยู่บ้าน การอาบน้ำต้องกระทำอย่างมิดชิด
4.5 ถ้าถูกบุคคลเหล่านั้นลวนลามควรบอกให้คนในบ้านทราบ

พัฒนาการทางเพศ และปัญหาทางเพศในเด็กและวัยรุ่น

พนม  เกตุมาน
พบ.  วว.จิตเวชศาสตร์  อว.จิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
Diploma of  Child and Adolescent  Psychiatry,  Institute of Psychiatry and University of  London, UK.

พัฒนาการเรื่องเพศในเด็กและวัยรุ่น  เกี่ยวข้องกับชีวิต ตั้งแต่เด็ก  การที่บุคคลได้เรียนรู้ธรรมชาติความเป็นจริงทางเพศ  จะช่วยให้มีความรู้  มีทัศนคติ  สามารถปรับตัวตามพัฒนาการของชีวิตอย่างเหมาะสม  และมีพฤติกรรมถูกต้องในเรื่องเพศ  เรื่องเพศสามารถสอนได้ตั้งแต่เด็กยังเล็ก สอดแทรกไปกับการส่งเสริมพัฒนาการด้านอื่นๆ  พ่อแม่ควรเป็นผู้สอนเบื้องต้น  เมื่อเข้าสู่โรงเรียน  ครูช่วยสอนให้สอดคล้องไปกับที่บ้าน  เมื่อเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น  ควรส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง  แต่มีแนวทางที่ถูกต้อง ป้องกันปัญหาทางเพศที่อาจเกิดตามมาในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ 
พัฒนาการทางเพศ1-5
                การเรียนรู้เรื่องเพศนั้น ประกอบด้วยเนื้อหาตามพัฒนาการ   ด้าน  ดังนี้ 
1.        การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย(Human sexual development) ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโต  พัฒนาการทางเพศตามวัย  ทางร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  และสังคมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
2.        สัมพันธภาพ (Interpersonal relation) การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม  การสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อนเพศเดียวกัและต่างเพศ  การเลือกคู่  การเตรียมตัวก่อนสมรส และการสร้างครอบครัว  ความสัมพันธ์ระหว่างสามี-ภรรยา  พ่อ-แม่-ลูก
3.        ทักษะส่วนบุคคล (Personal and communication skills)ความสามารถในการจัดการสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ เช่น ทักษะการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์  และควบคุมความสัมพันธ์ให้อยู่ในความถูกต้องเหมาะสม ทักษะการปฏิเสธ ทักษะการขอความช่วยเหลือ  ทักษะการจัดการกับอารมณ์  ทักษะการตัดสินใจและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ
4.        พฤติกรรมทางเพศ (Sexual behaviors) การแสดงออกถึงพฤติกรรมทางเพศหรือบทบาททางเพศ (gender role) ที่เหมาะสมกับบทบาททางเพศและวัย เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่เกิดความเสี่ยงทางเพศ (เช่น  เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น  เพศสัมพันธ์ที่ปราศจากการป้องการตั้งครรภ์หรือการติดเชื้อ) การสร้างเอกลักษณ์ทางเพศที่เหมาะสม ความเสมอภาคทางเพศ  และบทบาททางเพศที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสังคมอย่างสมดุล
5.        สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health) ความรู้ความเข้าใจและสามารถดูแลสุขภาพอนามัยทางเพศได้ตามวัย เช่น การดูแลรักษาอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ อนามัยการเจริญพันธุ์ สังเกตการเปลี่ยนแปลงต่างๆและความผิดปกติในลักษณะและหน้าที่ของอวัยวะเพศ การหลีกเลี่ยงอันตรายจากการชอกช้ำ บาดเจ็บ  อักเสบ  และติดเชื้อ  รวมถึงการถูกล่วงเกินทางเพศ 
6.        สังคมและวัฒนธรรม (Society and culture)   ค่านิยมในเรื่องเพศที่เหมาะสมสอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรมไทย การให้เกียรติเพศตรงข้าม การรักนวลสงวนตัว ไม่ปล่อยใจให้เกิดเพศสัมพันธ์โดยง่าย การปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยเฉพาะจากสื่อที่ยั่วยุทางเพศต่างๆ  และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ
เป้าหมายของพัฒนาการทางเพศ
                พัฒนาการทางเพศ  เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการบุคลิกภาพ  ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก  มีความต่อเนื่องไปจนพัฒนาการเต็มที่ในวัยรุ่น  หลังจากนั้นเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวตลอดชีวิต  เมื่อสิ้นสุดวัยรุ่น  มีการเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้6-7
1.        มีความรู้เรื่องเพศ  ตามวัย  และพัฒนาการทางเพศ  ตั้งแต่ร่างกาย  การเปลี่ยนแปลงไปตามวัย  และจิตใจสังคม  ของทั้งตนเอง  และผู้อื่น  ทั้งของเพศตรงกันข้าม  ความแตกต่างกันระหว่างเพศ 
2.        มีเอกลักษณ์ทางเพศของตนเอง ได้แก่  การรับรู้เพศตนเอง(core  gender)   บทบาททางเพศและพฤติกรรมทางเพศ(gender  role)   มีความพึงพอใจทางเพศหรือความรู้สึกทางเพศต่อเพศตรงข้ามหรือต่อเพศเดียวกัน(sexual  orientation)
3.        มีพฤติกรรมการรักษาสุขภาพทางเพศ(sexual  health)  การรู้จักร่างกายและอวัยวะเพศของตนเอง  ดูแลรักษาทำความสะอาด  ป้องกันการบาดเจ็บ  การติดเชื้อ  การถูกล่วงเกินละเมิดทางเพศ  การป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 
4.        ทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ที่จะร่วมเป็นคู่ครอง  การเลือกคู่ครอง  การรักษาความสัมพันธ์นี้ให้ยาวนาน  แก้ไขปัญหาต่างๆในชีวิตร่วมกัน  การสื่อสาร  การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่ครองอย่างมีความสุข  มี การวางแผนชีวิตและครอบครัว
5.        บทบาทในครอบครัว บทบาทและหน้าที่สำหรับการเป็นลูก  การเป็นพี่-น้อง และสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว หน้าที่และความรับผิดชอบชอบการเป็นพ่อแม่   ที่ถูกต้องตามกฎหมาย  และขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมของสังคมที่อยู่
6.        ทัศนคติทางเพศที่ถูกต้อง  ภูมิใจพอใจในเพศของตนเอง ไม่รังเกียจหรือปิดบัง ปิดกั้นการเรียนรู้ทางเพศที่เหมาะสม  รู้จักควบคุมพฤติกรรมทางเพศให้แสดงออกถูกต้อง   ให้เกียรติผู้อื่น   ไม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้อื่น  ยับยั้งใจตนเองไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร 

พัฒนาการทางเพศในวัยต่างๆ
        การเข้าใจพื้นฐานพัฒนาการทางเพศในเด็กวัยต่างๆ  จะช่วยให้ผู้สอน  มีแนวทาง  และกำหนดวัตถุประสงค์การสอน  ให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางเพศปกติ  ดังนี้ 8-9
วัยแรกเกิด 1  ปี 
เมื่อเด็กคลอดจากครรภ์มารดา  เอกลักษณ์ทางกายถูกกำหนดโดยแพทย์ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง  การกำหนดเพศนี้มีความสำคัญที่ทำให้พ่อแม่และครอบครัว  ยอมรับและเลี้ยงดูเด็กไปตามเพศนั้น  เด็กที่มีอวัยวะเพศกำกวม  อาจถูกกำหนดเพศผิด  ถูกเลี้ยงดูผิดเพศไปจนโต
                วัยนี้เด็กยังเล็กมาก  พัฒนาการทางจิตใจที่สำคัญคือ  การแยกแยะตนเองจากสิ่งแวดล้อมเกิดในระยะ  6  เดือนแรกของชีวิต  หลังจากนั้นเด็กจะเรียนรู้การเชื่อใจในพ่อแม่ที่ให้ความมั่นใจในชีวิตว่าเมื่อเด็กรู้สึกไม่สบายกายจากความหิว  จะได้รับอาหาร  เมื่อขับถ่ายจะมีคนมาช่วยทำความสะอาด  ความรู้สึกมั่นใจในผู้อื่นนี้ทำให้เด็กเกิดความไว้วางใจในความสัมพันธ์กับผู้อื่น  ความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่นและต่อโลก  เป็นพื้นฐานสำคัญต่อมนุษยสัมพันธ์ในเวลาต่อมา  วัยนี้เด็กต้องการการสัมผัสกอดรัด  และการอยู่ใกล้ชิดของพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูอย่างมาก  เด็กที่ถูกทอดทิ้งจะขาดความมั่นคงทางอารมณ์   เมื่อโตขึ้นจะขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น  ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับใคร  ไม่ไว้วางใจคนอื่น  มองโลกในแง่ร้าย  เห็นแก่ตัว  เรียกร้องความรักจากผู้อื่น  แต่ไม่มีความรักความเสียสละให้ใคร
                เด็กอายุขวบปีแรก  เริ่มแยกตัวเองจากสิ่งแวดล้อม  Simund Freud  ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ อยู่ที่ปาก (oral phase) เนื่องจากประสาทสัมผัสที่ปากมีความไวมาก 
·        6 เดือนแรก  มีความพึงพอใจจากการใช้ปากดูดและกินนม 
·        6 เดือนหลังของปีแรก เด็กพอใจใช้ปากกัด 
บทบาทของพ่อแม่  6 เดือนแรก  ควรตอบสนองความต้องการทางปากของเด็ก  เมื่อเด็กร้องเพราะหิว  ให้ตอบสนองตามความต้องการ  แต่ใน  6  เดือนหลัง  เมื่อเด็กร้องเพราะหิว  ให้ฝึกเด็กให้รู้จักการอ  เริ่มจากทีละน้อย 

วัย1-3 ปี 
วัยนี้เด็กเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น  เดินได้  เริ่มซนและสำรวจสิ่งแวดล้อม 
                Simund Freud  ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ เปลี่ยนจากที่ปากมาอยู่ที่ทวารหนัก (anal phase) เด็กเริ่มควบคุมการขับถ่ายได้   สำรวจอวัยวะเพศตนเอง  และอาจเพลิดเพลินกับการเล่นอวัยวะเพศถ้าเหงาหรืออยู่คนเดียว  เด็กยังไม่มีความรู้สึกทางเพศ  แต่การกระตุ้นอวัยวะเพศทำให้รู้สึกเสียวเพลินจนติดเป็นนิสัยได้ 
เมื่อเด็กอายุ 2  ขวบเด็กเริ่มเรียนรู้ว่าตนเองเป็นเพศใด  โดยเรียนรู้จากการที่พ่อแม่เรียก  และกำหนดบทบาทให้ตามเพศ  ได้แก่  การแต่งกาย  การเล่น  ของเล่น  การเรียกชื่อ  สรรพนาม  เริ่มสามารถแยกเพศตนเองได้  รู้ว่าตนเองเป็นเพศหญิงหรือชาย  จากการบอกกล่าวจากพ่อแม่และสิ่งแวดล้อม  การรู้จักเพศตนเองว่าเป็นเพศใด  ตรงตามลักษณะทางร่างกาย  เรียกว่าเด็กมี core gender  เป็นของตนเอง  เมื่อเด็กอายุ  3  ปีสามารถบอกผู้อื่นได้ว่าตนเองเป็นเพศใด  แยกแยะความแตกต่างของอวัยวะเพศได้
บทบาทของพ่อแม่  สอนให้เด็กรู้ว่าเป็นเพศใด  ตรงตามความเป็นจริง  ผู้ใหญ่ไม่ควรล้อเลียนให้เด็กอายในเรื่องเพศ  หรือแสดงให้เห็นว่าเพศใดดีกว่ากัน  ไม่ควรหลอกหรือขู่เด็กว่าจะตัดอวัยวะเพศเพราะอาจทำให้เด็กกลัวจริงๆ  และเกิดทัศนคติทางลบฝังใจต่อเรื่องเพศไปจนโต
                วัยนี้เด็กต้องการการฝึกควบคุมตนเอง  ซึงเป็นพื้นฐานของระเบียบวินัย และการควบคุมตัวเองเรื่องเพศในระยะต่อมา
พ่อแม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดกับเด็กได้มากขึ้น ควรเริ่มต้นปลูกฝังระบบจริยธรรมในชีวิตเด็กตั้งแต่วัยนี้  โดยสอนและกำกับให้เด็กอยู่ในกฎเกณฑ์และความปลอดภัย  ไม่ตามใจเกินไป  การให้เด็กสำรวจเรียนรู้จากการเล่นในกรอบที่ถูกต้อง  ช่วยให้เด็กมีเหตุผล  เข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และปฏิบัติตามกฎกติกาของสังคม

วัย3-6  ปี 
เด็กอายุ  3-6  ปี  เริ่มสนใจและอยากรู้เรื่องเพศ  เลียนแบบพฤติกรรมทางเพศจากพ่อหรือแม่เพศเดียวกัน   เพลิดเพลินกับการเล่นและสำรวจเรื่องทางเพศ 
Simund Freud  ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ เปลี่ยนจากที่ทวารหนัก   มาอยู่ที่อวัยวะเพศตนเอง(oedepus complex)   เด็กชายจะหวงแม่และเกรงกลัวพ่อ  แต่พยายามเลียนแบบพ่อเพื่อให้เป็นพวกเดียวกันและเป็นที่ยอมรับของพ่อ  แต่ก็ยังเกรงกลัวว่าอวัยวะเพศตนเองจะถูกตัด(castration anxiety)    เพศหญิงจะหวงพ่อและเกรงกลัวแม่ แต่เลียนแบบแม่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของแม่เช่นกัน  ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีอวัยวะเพศชายทำให้เด็กผู้หญิงเกิดความอิจฉาที่เรียกว่า penis envy  การถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศของทั้งชายและหญิงนี้จะกำหนดให้เด็กมีบทบาททางเพศ (gender role)อย่างถูกต้อง  เด็กเรียนรู้บทบาททางเพศจากครอบครัวเป็นหลัก  และเรียนรู้เสริมที่โรงเรียน และสังคมภายนอก  การเล่นในวัยนี้อาจไม่ตรงตามเพศ (เด็กผู้ชายอาจเล่นตุ๊กตา  เด็กผู้หญิงอาจเตะฟุตบอล)  การเล่นของเล่นที่ไม่ตรงตามเพศนี้จะน้อยลงเมื่อเข้าสู่วัยเรียน  โดยค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นการเล่นที่ตรงกับเพศตนเองมากขึ้น
เด็กมีความสนใจเรื่องเพศมาก  อยากรู้อยากเห็น  สำรวจตนเองและผู้อื่นเรื่องเพศ  อาจมีพฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศ  เล่นอวัยวะเพศตนเอง  จนอาจติดเป็นนิสัยได้
                วัยนี้เด็กอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศมาก  อาจมีคำถามเกี่ยวกับเพศบ่อยๆ  ผู้ใหญ่ควรตอบให้เด็กเข้าใจสั้นๆ  ไม่ควรบ่ายเบี่ยงหรือตอบไม่ตรงความจริง  เพราะอาจทำให้เด็กสับสนและคงอยากรู้อยากเห็นต่อไปอีก  เด็กอาจมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทางเพศ  เช่นแอบดูเด็กอื่นในห้องน้ำ  เปิดกระโปรงแม่หรือเด็กอื่น  ผู้ใหญ่ควรเอาจริงแต่นุ่มนวลโดยห้ามอย่างสงบ  อธิบายสั้นๆให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมอย่างใดไม่เป็นที่ยอมรับ
                บางครั้งเด็กแสดงพฤติกรรมทางเพศตามแบบอย่างที่เด็กเห็นมาจากบ้าน  เช่น  เด็กที่เห็นผู้ใหญ่มีเพศสัมพันธ์กันอาจแสดงท่าทางร่วมเพศกับเด็กอื่น  ถ้าเกิดขึ้นผู้ใหญ่ควรห้าม จัดการให้เด็กหยุดด้วยท่าทางจริงจัง แต่นุ่มนวล  และเบนความสนใจไปที่กิจกรรมอื่น  ให้เด็กอยู่ในสายตาจนไม่เกิดพฤติกรรมนี้อีก  ตรวจสอบว่าพ่อแม่อาจให้เด็กนอนด้วยและเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่  ควรแนะนำพ่อแม่ให้แยกห้องนอนเด็ก และระมัดระวังอย่าให้เด็กได้เห็นการมีเพศสัมพันธ์กันของผู้ใหญ่ 
บทบาทของพ่อแม่  ควรเป็นแบบอย่างทางเพศที่ถูกต้อง  วัยนี้ควรเริ่มสอนให้เด็กรักษาความสะอาดอวัยวะเพศ  ป้องกันตัวเองทางเพศ  ปฏิเสธไม่ไปไหนกับคนอื่น ปฏิเสธคนแปลกหน้ามาสัมผัสอวัยวะเพศตนเอง ส่งเสริมบทบาททางเพศที่เหมาะสม  ได้แก่การแต่งกาย  การเล่น พ่อควรใกล้ชิดลูกชาย  แม่ควรใกล้ชิดลูกสาว   วัยนี้เด็กเริ่มมีเหตุผลและควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น  ต้องการทำตัวดีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ  ต้องการอยู่ในกลุ่ม  หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ถูกลงโทษ หรือไม่ยอมรับจากผู้ใหญ่  วัยนี้สามารถอธิบายเหตุผลได้สั้นๆ  ง่ายๆ  มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมประกอบ

วัย 6-12  ปี 
วัยนี้ยังไม่มีอารมณ์เพศหรือความรู้สึกทางเพศ  Simund Freud  ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยนี้ว่าไม่แสดงออกชัดเจน  เรียกว่าระยะแฝงตัว (latency phase)  เด็กเล่นเป็นกลุ่มเฉพาะเพศเดียวกัน  เด็กเรียนรู้บทบาททางเพศจากการสังเกตและเลียนแบบพ่อแม่ญาติพี่น้อง ในครอบครัว เพื่อน ครู เพื่อนบ้านและคนอื่นๆในสังคม  เด็กผู้ชายที่มีลักษณะค่อนข้างไปทางหญิง  เช่น  เรียบร้อย  ไม่เล่นซน  มักถูกกีดกันจากกลุ่มเด็กผู้ชาย  จะหันไปสนิทสนมกับเด็กผู้หญิง  และอาจมีพฤติกรรมเป็นหญิงมากขึ้น  ทำให้ถูกกีดกันจากเด็กผู้ชายมากขึ้น  ในตอนปลายวัยนี้เด็กบางคนเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเด็กอื่นๆ  การเรียนรู้เรื่องการเข้าสู่วัยรุ่นจึงควรเริ่มมีเพื่อเตรียมตัวเด็กต่อการเปลี่ยนแปลงเช่น  การมีประจำเดือนในเด็กผู้หญิง
                บทบาทของพ่อแม่  ควรส่งเสริมกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศ  ให้เด็กเป็นที่ยอมรับของเพื่อนเพศเดียวกัน   เด็กที่มีพฤติกรรมผิดเพศ  ควรแก้ไขโดยเร็ว  โดยการให้เด็กอยู่และร่วมกิจกรรมในกลุ่มเพศเดียวกันเอง  ให้พ่อแม่เพศเดียวกันใกล้ชิดเด็กมากขึ้น  พ่อแม่ต่างเพศให้ห่างออกไปไม่ควรใกล้ชิดมากเหมือนเดิม  จัดกิจกรรม หรือส่งเสริมกิจกรรมเหมาะสมตามเพศ

วัย  12-18  ปี 10
เด็กอายุ  12 ปี  เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น   มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจสังคม  และทางเพศอย่างมาก  มีความรู้สึกและความต้องการทางเพศ  มีเอกลักษณ์ทางเพศ  มีความพึงพอใจทางเพศ  (sexual orientation)   Simund Freud  ให้ความหมายของ sex หรือความพึงพอใจเด็กวัยรุ่นนี้มาอยู่ที่อวัยวะเพศ (genital phase) 
พัฒนาการทางร่างกาย ( Physical development ) มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั่วไป  และการเปลี่ยนแปลงทางเพศ   เนื่องจากวัยนี้ มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศและฮอร์โมนของการเจริญเติบโตอย่างมากและรวดเร็ว  ร่างกายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนขายาวขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงอื่นประมาณ 2 ปี เพศหญิงมีไขมันมากกว่าชาย   ชายมีกล้ามเนื้อมากกว่าทำให้เพศชายแข็งแรงกว่า
 การเปลี่ยนแปลงทางเพศ(Sexual  changes)ที่เห็นได้ชัดเจน  คือวัยรุ่นชายเกิดนมขึ้นพาน(หัวนมโตขึ้นเล็กน้อย  กดเจ็บ)  เสียงแตก  หนวดเคราขึ้น  และเริ่มมีฝันเปียก ( nocturnal ejaculation – การหลั่งน้ำอสุจิในขณะหลับ  มักสัมพันธ์กับความฝันเรื่องเพศ)  การเกิดฝันเปียกครั้งแรกเป็นสัญญาณวัยรุ่นของเพศชาย  ส่วนวัยรุ่นหญิงเป็นสาวขึ้น  เต้านมมีขนาดโตขึ้น  ไขมันที่เพิ่มขึ้นทำให้มีรูปร่างทรวดทรง  สะโพกผายออก  และเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก ( menarche)  การมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นสัญญาณเข้าสู่วัยรุ่นในหญิง   ทั้งสองเพศมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ  ขนาดโตขึ้น และเปลี่ยนเป็นแบบผู้ใหญ่  มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ  มีกลิ่นตัว  มีสิวขึ้น 
พัฒนาการทางจิตใจ  (Psychological Development) วัยนี้สติปัญญาพัฒนาสูงขึ้น  จนมีความคิดเป็นแบบรูปธรรม  ความสามารถเรียนรู้  เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ  มีลึกซึ้ง  มีความสามารถในการคิด  วิเคราะห์  และสังเคราะห์  สิ่งต่างๆได้มากขึ้นตามลำดับ  สามารถคิดได้ดี  คิดเป็น  คิดหลายด้าน  ทำให้สามารถตัดสินใจได้  ความสามารถทางสติปัญญาเพิ่มมากขึ้นจนเหมือนผู้ใหญ่  แต่ในช่วงระหว่างวัยรุ่นนี้  ยังขาดประสบการณ์  ขาดความรอบคอบ  มีความหุนหันพลันแล่น  ขาดการยั้งคิดหรือไตร่ตรอง  ทำอะไรวู่วามหรือทำด้วยความอยากตามสัญชาติญาณ หรือตามความต้องการทางเพศที่มีมากขึ้น  พัฒนาการทางจิตใจจะช่วยให้วัยรุ่น มีการยั้งคิด  ควบคุม  และปรับตัว (adjustment) ต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีในเวลาต่อมา
เอกลักษณ์ (identity) วัยรุ่นเริ่มแสดงออกถึงสิ่งตนเองชอบ  สิ่งที่ตนเองถนัด  ซึ่งแสดงถึงความเป็นตัวตนของเขาที่โดดเด่น  ได้แก่  วิชาที่เขาชอบเรียน  กีฬาที่ชอบเล่น  งานอดิเรก  การใช้เวลาว่างให้เกิดความเพลิดเพลิน   กลุ่มเพื่อนที่ชอบและสนิทสนมด้วย  โดยเขาจะเลือกคบคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน  หรือเข้ากันได้   และเกิดการเรียนรู้และถ่ายทอดแบบอย่างจากกลุ่มเพื่อนนี้เอง  ทั้งแนวคิด  ค่านิยม  ระบบจริยธรรม  การแสดงออกและการแก้ปัญหาในชีวิต  จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของตน  และกลายเป็นบุคลิกภาพนั่นเอง    วัยนี้จะมีเอกลักษณ์ทางเพศ(sexual  identity)ชัดเจนขึ้น  ประกอบด้วย  การรับรู้ว่าตนเองเป็นเพศใด(core  gender  identity)ซึ่งติดตัวเด็กมาตั้งแต่อายุ  3  ปีแล้ว  พฤติกรรมที่แสดงออกทางเพศ(gender  role)คือพฤติกรรมซึ่งเด็กแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นได้แก่  กิริยาท่าทาง  คำพูด  การแต่งกาย  เหมาะสมและตรงกับเพศตนเอง  และ ความรู้สึกพึงพอใจทางเพศ(sexual  orientation) คือความรู้สึกทางเพศกับเพศใด  ทำให้วัยรุ่นบอกได้ว่าตนเองชอบทางเพศกับเพศเดียวกัน(homosexualism)   กับเพศตรงข้าม(heterosexualism)  หรือได้กับทั้งสองเพศ(bisexualism)
ความพึงพอใจทางเพศนี้  เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ทำได้ยาก  วัยรุ่นจะรู้ด้วยตัวเองว่า  ความพึงพอใจทางเพศของตนแบบนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้   จะเปลี่ยนแปลงได้เฉพาะการแสดงออกภายนอก  ไม่ให้แสดงออกผิดเพศมากจนเป็นที่ล้อเลียนกลั่นแกล้งของเพื่อนๆ
วัยนี้ต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนอย่างมาก(acceptance)    อยากเด่นอยากดัง อยากให้มีคนรู้จักมากๆ     อยากเป็นที่ชื่นชม ชื่นชอบของคนอื่นๆ   อาจแสดงออกเป็นพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม  เช่น  การแต่งกายยั่วยวนทางเพศ  เพื่อให้เป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม  วัยรุ่นที่เป็นรักร่วมเพศอาจแสดงออกผิดเพศมากขึ้น  เพื่อให้เป็นที่สนใจและยอมรับ  หรือเมื่อถูกกีดกันจากเพศเดียวกัน  ก็อาจจับกลุ่มพวกที่แสดงออกผิดเพศเหมือนกัน  เป็นการแสวงหากลุ่มที่ยอมรับ  ทำให้เห็นการแสดงออกผิดเพศมากขึ้น 
การเปลี่ยนแปลงทางเพศในวัยนี้ตามปกติ  ทำให้เด็กรู้สึกความภาคภูมิใจตนเอง (self esteem) ในทางตรงข้ามเด็กที่เปลี่ยนแปลงช้า  หรือไม่มีลักษณะเด่นทางเพศอาจเสียความภูมิใจในตนเอง  เสียความมั่นใจตนเอง (self confidence)   วัยรุ่นบางคนไม่มีข้อดีข้อเด่นด้านใดเลย  อาจแสดงออกทางเพศมากขึ้นเพื่อให้ตนเองรู้สึกภูมิใจในตนเอง  หรือบางคนมีแฟนเร็วหรือมีเพศสัมพันธ์เร็วเพื่อทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า  มีคนต้องการ  มีคนทำดีด้วย  วัยรุ่นที่มีปัญหาครอบครัวจึงมักมีพฤติกรรมทางเพศเร็ว  เช่นมีแฟน  มีเพศสัมพันธ์    เพื่อชดเชยหรือทดแทนความรู้สึกเบื่อ  เหงา  ไร้ค่า  เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้ว  ก็ยิ่งรู้สึกตนเองไม่มีคุณค่ามากขึ้น  บางคนใช้เรื่องเพศเป็นสะพานสู่ความต้องการทางวัตถุ ได้เงินตอบแทน  หรือโอ้อวดเพื่อนๆว่าเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้ามมาก
วัยรุ่นบางคนขาดกรอบที่ใช้เป็นหลักในการควบคุมตนเอง  วัยนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง  (independent  :  autonomy)  รักอิสระ  เสรีภาพ ไม่ค่อยชอบอยู่ในกฎเกณฑ์กติกาใดๆ  ชอบคิดเอง  ทำเอง  พึ่งตัวเอง  เชื่อความคิดตนเอง   ความอยากรู้อยากเห็นอยากลองมีมาก  มีปฏิกิริยาตอบโต้ผู้ใหญ่ที่บีบบังคับสูง    ทำให้อาจเกิดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ  เช่น  การแต่งกาย  การเที่ยวกลางคืน  ดื่มเหล้าหรือเสพยาเสพติด  เพศสัมพันธ์  การจัดขอบเขตในวัยรุ่นจึงต้องให้พอดี  ถ้าห้ามมากเกินไป  วัยรุ่นอาจแอบทำนอกสายตาผู้ใหญ่  แต่ถ้าปล่อยปละละเลยเกินไปจะเกิดพฤติกรรมเสี่ยง  การฝึกสอนการควบคุมตัวเองจึงต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดี  ฝึกให้คิดด้วยตัวเอง  เปิดโอกาสให้วัยรุ่นเรียนรู้  แต่อยู่ในขอบเขต
การควบคุมตนเอง (self control) วัยนี้ควรฝึกเรียนรู้การควบคุมความคิด ยั้งความคิดและความรู้สึกทางเพศหรือความต้องการทางเพศ ห้ามใจไม่ให้มีเพศสัมพันธ์  วัยนี้ควรสอนให้ควบคุมตนเองโดยให้เกิดการควบคุมจากใจตนเอง  ให้รู้ว่าถ้าไม่ควบคุมจะเกิดข้อเสียอะไรบ้าง  ถ้าควบคุมจะมีข้อดีอย่างไร  การฝึกให้วัยรุ่นใช้สมองส่วนคิดมาก ทำให้เกิดการคิดก่อนทำ  ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ  สมอง ส่วนคิด จะมาควบคุมสมอง ส่วนอยาก  หรือควบคุมด้านอารมณ์เพศได้มากขึ้น 
อารมณ์วัยรุ่นที่ปั่นป่วน  เปลี่ยนแปลง  หงุดหงิด  เครียด  โกรธ   กังวล ซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ  อาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางเพศ เช่นวัยรุ่นบางคนอาจหันไปใช้กิจกรรมที่ช่วยลดความเครียดหรือเพิ่มความสนุกสนานแต่เกิดปัญหาตามมา  ได้แก่  การมีแฟน  มีเพศสัมพันธ์  การใช้เหล้าและยาเสพติด 
                อารมณ์เพศเกิดขึ้นวัยนี้มาก  ทำให้มีความสนใจเรื่องทางเพศ  หรือมีพฤติกรรมทางเพศ  เช่นการมีเพื่อนต่างเพศ  การดูสื่อยั่วยุทางเพศรูปแบบต่าง  การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง   ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในวัยนี้สามารถมีได้แต่ควรให้มีพอควร  ไม่หมกมุ่นหรือปล่อยให้มีสิ่งแวดล้อมกระตุ้นทางเพศมากเกินไป วัยนี้อาจแสดงพฤติกรรมทางเพศบางอย่างอาจเป็นปัญหา  เช่น  เบี่ยงเบนทางเพศ   กามวิปริต หรือการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น  การฝึกให้วัยรุ่นเข้าใจ  ยอมรับ  และจัดการอารมณ์เพศอย่างถูกต้องดีกว่าปล่อยให้วัยรุ่นเรียนรู้เอง
จริยธรรม (moral development) วัยนี้สามารถพัฒนาให้มีจริยธรรม  แยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้  เริ่มมีระบบมโนธรรมของตนเอง   เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย  การควบคุมตนเองจะดีขึ้น  จนเป็นระบบจริยธรรมที่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่  คือรู้ว่าอะไรไม่ควรทำ  และสามารถควบคุมตนเองได้ด้วย  จริยธรรมวัยนี้เกิดจากการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับคนใกล้ชิด  คือพ่อแม่ ครู และเพื่อน  การมีแบบอย่างที่ดีช่วยให้วัยรุ่นมีจริยธรรมที่ดีด้วย  เพื่อนมีอิทธิพลสูงในการสร้างทัศนคติค่านิยมและจริยธรรม  ถ้าเพื่อนไม่ดี  อาจชักจูงให้เด็กขาดระบบจริยธรรมที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะจริยธรรมทางเพศ  วัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มที่เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ  จะมีเพศสัมพันธ์สูงกว่าวัยรุ่นทั่วไปอื่นๆ 
จริยธรรมทางเพศในวัยรุ่นนี้  ควรให้เกิดความเข้าใจต่อเพศตรงข้าม  ให้เกียรติ  และยับยั้งใจทางเพศ  ไม่ละเมิดหรือล่วงเกินผู้อื่น ทางเพศ
พัฒนาการทางสังคม (Social Development) วัยนี้เริ่มห่างจากทางบ้าน  ไม่ค่อยสนิทสนมคลุกคลีกับพ่อแม่พี่น้องเหมือนเดิม  แต่สนใจเพื่อนและเพศตรงข้าม   สร้างความสัมพันธ์กับคนที่พึงพอใจทางเพศ  และรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาวจนตกลงร่วมเป็นคู่ครอง  และสร้างครอบครัวให้ยืนยาวต่อไปได้
                บทบาทของพ่อแม่  เป็นแบบอย่างทางเพศ  สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายและจิตใจอารมณ์  การจัดการกับอารมณ์เพศ  มีบทบาททางเพศที่เหมาะสม และการยับยั้งชั่งใจทางเพศ 

ปัญหาทางเพศในเด็กและวัยรุ่น11
                ปัญหาทางเพศในเด็กและวัยรุ่นแบ่งตามประเภทต่างๆได้ดังนี้
1. ความผิดปกติในเอกลักษณ์ทางเพศ Gender Identity Disorder 12
อาการ
 เด็กมีพฤติกรรมผิดเพศ  เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นเพศตรงข้ามกับเพศทางร่างกายมาตั้งแต่เด็ก  มีพฤติกรรมทางเพศเป็นแบบเดียวกับเพศตรงข้าม  ได้แก่ 
-          การแต่งกายชอบแต่งกายผิดเพศ  เด็กชายชอบสวมกระโปรงและรังเกียจกางเกง เด็กหญิงรังเกียจกระโปรงแต่ชอบสวมกางเกง  เด็กชายชอบแต่งหน้าทาปากชอบดูแม่แต่งตัวและเลียนแบบแม่
-          การเล่น มักเล่นเลียนแบบเพศตรงข้าม หรือชอบเล่นกับเพศตรงข้ามเด็กชายมักไม่ชอบเล่นรุนแรง ชอบเล่นกับผู้หญิง และมักเข้ากลุ่มเพศตรงข้ามเสมอ
-          จินตนาการว่าตนเองเป็นเพศตรงข้ามเสมอแม้ในการเล่นสมมุติก็มักสมมุติตนเองเป็นเพศตรงข้าม เด็กชายอาจจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางฟ้า หรือเจ้าหญิง เป็นต้น
-          พฤติกรรมทางเพศเด็กไม่พอใจในอวัยวะเพศของตนเอง  บางคนรู้สึกรังเกียจหรือแสร้งทำเป็นไม่มีอวัยวะเพศหรือต้องการกำจัดอวัยวะเพศออกไป เด็กหญิงจะยืนปัสสาวะ เด็กชายจะนั่งถ่ายปัสสาวะ เลียนแบบพฤติกรรมทางเพศของเพศตรงข้ามโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ
อาการต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นแล้วดำเนินอย่างต่อเนื่อง เด็กอาจถูกล้อเลียน ถูกกีดกันออกจากกลุ่มเพื่อนเพศเดียวกัน เด็กมักพอใจในการเข้าไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนต่างเพศ และถ่ายทอดพฤติกรรมของเพศตรงข้ามทีละน้อยๆ จนกลายเป็นบุคลิกภาพของตนเอง
                เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เด็กมีความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเพศของตนเองมากขึ้น และต้องการเปลี่ยนแปลงเพศตนเอง เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ภาวะเช่นนี้เรียกว่า Transsexualism

2. รักร่วมเพศ  Homosexualism  
อาการ
อาการ เริ่มเห็นชัดเจนตอนเข้าวัยรุ่น  เมื่อเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ  ทำให้เกิดความพึงพอใจทางเพศ(sexual orientation)   โดยมีความรู้สึกทางเพศ ความต้องการทางเพศ  อารมณ์เพศกับเพศเดียวกัน 
รักร่วมเพศยังรู้จักเพศตนเอง(core gender) ตรงตามที่ร่างกายเป็น  รักร่วมเพศชายบอกตนเองว่าเป็นเพศชาย  รักร่วมเพศที่เป็นหญิงบอกเพศตนเองว่าเป็นเพศหญิง 
การแสดงออกว่าชอบเพศเดียวกัน  มีทั้งที่แสดงออกชัดเจนและไม่ชัดเจน
กิริยาท่าทางและการแสดงออกภายนอก  มีทั้งที่แสดงออกชัดเจน และไม่แสดงออก   ขึ้นอยู่กับบุคลิกของผู้นั้นและการยอมรับของสังคม
                ชายชอบชาย  เรียกว่า เกย์ (gay)  หรือตุ๊ด แต๋ว  เกย์ยังมีประเภทย่อย  เป็นเกย์คิง และเกย์ควีน  เกย์คิงแสดงบทบาทภายนอกเป็นชาย  การแสดงออกทางเพศ(gender role)ไม่ค่อยเป็นหญิง  จึงดูภายนอกเหมือนผู้ชายปกติธรรมดา  แต่เกย์ควีนแสดงออกเป็นเพศหญิง  เช่นกิริยาท่าทาง  คำพูด ความสนใจ  กิจกรรมต่างๆ  ความชอบต่างๆเป็นหญิง
หญิงชอบหญิง  เรียกว่าเลสเบี้ยน(lesbianism)  การแสดงออกมี 2  แบบเช่นเดียวกับเกย์  เรียกว่าทอมและดี้  ดี้แสดงออกเหมือนผู้หญิงทั่วไป  แต่ทอมแสดงออก(gender role)ออกเป็นชาย  เช่นตัดผมสั้น  สวมกางเกงไม่สวมกระโปรง
ในกลุ่มรักร่วมเพศ ยังมีประเภทย่อยอีกประเภทหนึ่ง  ที่มีความพึงพอใจทางเพศได้กับทั้งสองเพศ  เรียกว่า ไบเซกชวล (bisexualism)  มีความรู้สึกทางเพศและการตอบสนองทางเพศได้กับทั้งสองเพศ

สาเหตุ  ปัจจุบันมีหลักฐานสนับสนุนว่า  สาเหตุมีหลายประการประกอบกัน  ทั้งสาเหตุทางร่างกาย  พันธุกรรม  การเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมภายนอก

การช่วยเหลือ  พฤติกรรมรักร่วมเพศเมื่อพบในวัยเด็ก  สามารถเปลี่ยนแปลงได้  โดยการแนะนำการเลี้ยงดู  ให้พ่อแม่เพศเดียวกันใกล้ชิดมากขึ้น  พ่อแม่เพศตรงกันข้ามสนิทสนมน้อยลง   เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศที่ถูกเพศ  แต่ต้องให้มีความสัมพันธ์ดีๆต่อกัน    ส่งเสริมกิจกรรมเหมาะสมกับเพศ  เด็กชายให้เล่นกีฬาส่งเสริมความแข็งแรงทางกาย  ให้เด็กอยู่ในกลุ่มเพื่อนเพศเดียวกัน
                ถ้ารู้ว่าเป็นรักร่วมเพศตอนวัยรุ่น   ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้  การช่วยเหลือทำได้เพียงให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินชีวิตแบบรักร่วมเพศอย่างไร  จึงจะเกิดปัญหาน้อยที่สุด  และให้คำแนะนำพ่อแม่เพื่อให้ทำใจยอมรับสภาวการณ์นี้  โดยยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกต่อไป 
การป้องกัน  การเลี้ยงดู  เริ่มตั้งแต่เล็ก  พ่อแม่ความสัมพันธ์ดี  พ่อและแม่เพศเดียวกันกับเด็กมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก  การคบเพื่อน  ส่งเสริมกิจกรรมให้ตรงตามเพศ

2. พฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศในเด็ก(การเล่นอวัยวะเพศตนเอง Self-stimulation behavior)
อาการ 
กระตุ้นตนเองทางเพศ  เช่น  นอนคว่ำถูไถอวัยวะเพศกับหมอน  หรือพื้น 
สาเหตุ
เด็กเหงา  ถูกทอดทิ้ง  มีโรคทางอารมณ์   เด็กมักค้นพบด้วยความบังเอิญ เมื่อถูกกระตุ้นหรือกระตุ้นตนเองที่อวัยวะเพศแล้วเกิดความรู้สึกเสียว พอใจกับความรู้สึกนั้น เด็กจะทำซ้ำ  ในที่สุดติดเป็นนิสัย
การช่วยเหลือ
1.        หยุดพฤติกรรมนั้นอย่างสงบ  เช่น  จับมือเด็กออก  ให้เด็กนอนหงาย  บอกเด็กสั้นๆว่า  หนูไม่เล่นอย่างนั้น 
2.        เบี่ยงเบนความสนใจ  ให้เด็กเปลี่ยนท่าทาง  ชวนพูดคุย
3.        หากิจกรรมทดแทน  ให้เด็กได้เคลื่อนไหว  เพลิดเพลิน  สนุกสนานกับกิจกรรมและสังคม
4.        อย่าให้เด็กเหงา   ถูกทอดทิ้งหรืออยู่ตามลำพัง  เด็กอาจกลับมากระตุ้นตนเองอีก
5.        งดเว้นความก้าวร้าวรุนแรง การห้ามด้วยท่าทีน่ากลัวเกินไปอาจทำให้เด็กกลัวฝังใจมีทัศนคติด้านลบต่อเรื่องเพศ  อาจกลายเป็นเก็บกดทางเพศ  หรือขาดความสุขทางเพศในวัยผู้ใหญ่

3. พฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศในวัยรุ่น  หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (Masturbation)
สาเหตุ  พฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศในวัยรุ่นเป็นเรื่องปกติ    ไม่มีอันตราย ยอมรับได้ถ้าเหมาะสมไม่มากเกินไปหรือหมกมุ่นมาก  พบได้บ่อยในเด็กที่มีปัญหาทางจิตใจ  ปัญญาอ่อน เหงา กามวิปริตทางเพศ  และสิ่งแวดล้อมมีการกระตุ้นหรือยั่วยุทางเพศมากเกินไป
การช่วยเหลือ  ให้ความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้อง  ให้กำหนดการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองให้พอดีไม่มากเกินไป  ลดสิ่งกระตุ้นทางเพศที่ไม่เหมาะสม  ใช้กิจกรรมเบนความสนใจ   เพิ่มการออกกำลังกาย   ฝึกให้เด็กมีควบคุมให้พฤติกรรมให้พอควร 

4. พฤติกรรมทางเพศที่วิปริต  (Paraphilias)12
อาการ 
ผู้ป่วยไม่สามารถเกิดอารมณ์เพศได้กับสิ่งกระตุ้นทางเพศปกติ  มีความรู้สึกทางเพศได้เมื่อมีการกระตุ้นทางเพศที่แปลกประหลาดพิสดาร  ที่ไม่มีในคนปกติ  ทำให้เกิดพฤติกรรมใช้สิ่งผิดธรรมชาติกระตุ้นตนเองทางเพศ  มีหลายประเภทแยกตามสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกทางเพศ
ประเภทของ Paraphilia
1.        Fetishism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการสัมผัส ลูบคลำ  สูดดมเสื้อผ้าชุดชั้นใน    
2.        Exhibitionism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการโชว์อวัยวะเพศตนเอง
3.        Frotteurism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการได้ถูไถ  สัมผัสภายนอก 
4.        Voyeurism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการแอบดู
5.        Sadism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด  ด้วยการทำร้ายร่างกาย  หรือคำพูด
6.        Masochism  เกิดความรู้สึกทางเพศจากการทำตนเอง  หรือให้ผู้อื่นทำให้ตนเองเจ็บปวด  ด้วยการทำร้ายร่างกาย  หรือคำพูด
7.        Pedophilia  เกิดความรู้สึกทางเพศจากกับเด็ก
8.        Zoophilia  เกิดความรู้สึกทางเพศกับสัตว์
9.        Transvestism   เกิดความรู้สึกทางเพศจากการแต่งกายผิดเพศ
สาเหตุ
1.        การเลี้ยงดู  ทัศนคติไม่ดีต่อเรื่องทางเพศ   ที่พ่อแม่ปลูกฝังเด็กทำให้เด็กเรียนรู้ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม  ต้องปิดบัง  เลวร้ายหรือเป็นบาป  เด็กจะเก็บกดเรื่องเพศ  ทำให้ปิดกั้นการตอบสนองทางเพศกับตัวกระตุ้นทางเพศปกติ 
2.        การเรียนรู้  เมื่อเด็กเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ  แต่ไม่สามารถแสดงออกทางเพศได้ตามปกติ  เด็กจะแสวงหาหรือเรียนรู้ด้วยตัวเอง  ว่าเมื่อใช้ตัวกระตุ้นบางอย่าง  ทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศได้  จะเกิดการเรียนรู้แบบเป็นเงื่อนไข  และเป็นแรงเสริมให้มีพฤติกรรมกระตุ้นตัวเองทางเพศด้วยสิ่งกระตุ้นนั้นอีก
การช่วยเหลือ
ใช้หลักการช่วยเหลือแบบพฤติกรรมบำบัด  ดังนี้
1.        การจัดการสิ่งแวดล้อม  กำจัดสิ่งกระตุ้นเดิมที่ไม่เหมาะสมให้หมด  หากิจกรรมทดแทนเบี่ยงเบนความสนใจ  อย่าให้เด็กเหงาอยู่คนเดียวตามลำพัง  ปรับเปลี่ยนทัศนคติทางเพศในครอบครัว  ให้เห็นว่าเรื่องเพศไม่ใช้เรื่องต้องห้าม  สามารถพูดคุย  เรียนรู้ได้  พ่อแม่ควรสอนเรื่องเพศกับลูก
2.        ฝึกการรู้ตัวเอง  และควบคุมตนเองทางเพศ  ให้รู้ว่ามีอารมณ์เพศเมื่อใด  โดยสิ่งกระตุ้นใด  พยายามห้ามใจตนเองที่จะใช้สิ่งกระตุ้นเดิมที่ผิดธรรมชาติ
3.        ฝึกการสร้างอารมณ์เพศกับตัวกระตุ้นตามปกติ  เช่น  รูปโป๊-เปลือย  แนะนำการสำเร็จความใคร่ที่ถูกต้อง  
4.        บันทึกพฤติกรรม  เมื่อยังไม่สามารถหยุดพฤติกรรมได้  สังเกตความถี่ห่าง  เหตุกระตุ้น  การยับยั้งใจตนเอง  ให้รางวัลตนเองเมื่อพฤติกรรมลดลง
การป้องกัน   การให้ความรู้เรื่องเพศที่ถูกต้องตั้งแต่เด็ก  ด้วยทัศนคติที่ดี

5. เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น
ลักษณะปัญหา 
มีพฤติกรรมทางเพศต่อกันอย่างไม่เหมาะสม  มีเพศสัมพันธ์กัน
สาเหตุ
1.        เด็กขาดความรักความอบอุ่นใจจากครอบครัว
2.        เด็กขาดความรู้สึกมีคุณค่าตนเอง  ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเรียน  แสวงหาการยอมรับ  หาความสุขและความพึงพอใจจากแฟน เพศสัมพันธ์  และกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่างๆ
3.        เด็กขาดความรู้และความเข้าใจทางเพศ   ความตระหนักต่อปัญหาที่ตามมาหลังการมีเพศสัมพันธ์  การป้องกันตัวของเด็ก  ขาดทักษะในการป้องกันตนเองเรื่องเพศ ขาดทักษะในการจัดการกับอารมณ์ทางเพศ 
4.        ความรู้และทัศนคติทางเพศของพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ  ปิดกั้นการเรียนรู้เรื่องเพศ  ทำให้เด็กแสวงหาเองจากเพื่อน 
5.        อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน  รับรู้ทัศนคติที่ไม่ควบคุมเรื่องเพศ เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดา  ไม่เกิดปัญหาหรือความเสี่ยง 
6.        มีการกระตุ้นทางเพศ  ได้แก่  ตัวอย่างจากพ่อแม่  ภายในครอบครัว  เพื่อน  สื่อยั่วยุทางเพศต่างๆที่เป็นแบบอย่างไม่ดีทางเพศ

การป้องกัน
การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น  แบ่งเป็นระดับต่างๆ  ดังนี้
1.        การป้องกันระดับต้น  ก่อนเกิดปัญหา  ได้แก่ ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ  การเลี้ยงดูโดยครอบครัว  สร้างความรักความอบอุ่นในบ้าน  สร้างคุณค่าในตัวเอง  ให้ความรู้และทัศนคติทางเพศที่ดี  มีแบบอย่างที่ดี 
2.        การป้องกันระดับที่ 2 หาทางป้องกันหรือลดการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว  โดยการสร้างความตระหนักในการไม่มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน  หรือก่อนการแต่งงาน หาทางเบนความสนใจวัยรุ่นไปสู่กิจกรรมสร้างสรรค์  ใช้พลังทางเพศที่มีมากไปในด้านที่เหมาะสม  
3.        การป้องกันระดับที่ 3  ในวัยรุ่นที่หยุดการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้   ป้องกันปัญหาที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์  ป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศ  โดยการให้ความรู้ทางเพศ  เบี่ยงเบนความสนใจ  หากิจกรรมทดแทน 

เอกสารอ้างอิง
1.        กองวางแผนครอบครัวและประชากร  กรมอนามัย  กระทรวงสาธารณสุข. แผนการอบรมเพศศึกษาสำหรับพ่อแม่. กรุงเทพฯ: บริษัท วิสคอม เซ็นเตอร์ จำกัด, 2543.
2.        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ.  แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพศศึกษาช่วงชั้นที่ 1  (ป1-3).  กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, 2548.
3.        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ.  แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพศศึกษาช่วงชั้นที่ 2  (ป4-6).  กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, 2548.
4.        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ.  แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพศศึกษาช่วงชั้นที่ 3  (ม1-3).  กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, 2548.
5.        สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กระทรวงศึกษาธิการ.  แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพศศึกษาช่วงชั้นที่ 4  (ม4-6).  กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ, 2548.
6.        พนม  เกตุมาน. โตแล้วนะน่าจะรู้ไว้ พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2542.
7.        ศรีธรรม  ธนะภูมิ. พัฒนาการทางอารมณ์และบุคลิกภาพ. กรุงเทพฯ: ชวนพิมพ์, 2535;60-115.
8.        จันทร์วิภา  ดิลกสัมพันธ์.  เพศศึกษา พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร, 2543;69-77.
9.        นิกร  ดุสิตสิน, วีระ  นิยมวัน, ไพลิน  ศรีสุโข. คู่มือการสอนเพศศาสตรศึกษาระดับมัธยม  พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2545;1-14.
10.     พนม  เกตุมาน. สุขใจกับลูกวัยรุ่น. กรุงเทพฯ: บริษัทแปลนพับลิชิ่งจำกัด, 2535;60-88.
11.     Friedman CR. Normal sexuality  and introduction to sexual Disorders. In: Cavenarr OJ Jr. ed.  Psychiatry  Vol. 1 revised edition.  Philadelphia : J.B. Lippincott Company,  1986 :Chapter45:1-8.
12.     Person SE. Paraphilias and gender identity disorders. In: Cavenarr OJ Jr. ed.  Psychiatry  Vol. 1 revised edition.  Philadelphia : J.B. Lippincott Company,  1986 :Chapter46:1-19.