.

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เด็กไทยเห่อเน็ต !! ของเล่นโบราณกว่า 300 ชนิด ถูกทิ้ง…

เด็กไทยเห่อเน็ต !! ของเล่นโบราณกว่า 300 ชนิด ถูกทิ้ง…

 เด็กไทยเห่อเน็ต !! ของเล่นโบราณกว่า 300 ชนิด ถูกทิ้ง…

เด็กไทยเห่อเน็ต !! ของเล่นโบราณกว่า 300 ชนิด ถูกทิ้ง…

กลุ่มรุ่งอรุณของเล่นพื้นบ้านเครือข่ายชุมชนทำของเล่น การเล่นของเล่นพื้นบ้าน 4ภาค และการละเล่นเด็ก เพื่อการพัฒนาเด็ก ห่วงของเล่นโบราณไทยจะสูญ


นายทวีทรัพย์ นามขจรโรจน์ ผู้ประสานงาน เปิดเผยว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาตินี้ทางกลุ่มรุ่งอรุณของเล่นพื้นบ้าน อยากจะเรียกร้องให้สังคมไทยหันมาสนใจของเล่นไทย ของเล่นโบราณกว่า 300ชนิดกำลังจะสูญหายและบางอย่างได้สูญหายไปแล้วจากสังคมไทย เพราะสังคมเปลี่ยนไปจากชุมชนท้องถิ่น เป็นสังคมเมือง อีกทั้งเด็กไทยหันไปเล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต ติดโทรศัพท์มือถือมากกว่า หากจะเห็นก็มีแต่งานที่จัดขึ้นเฉพาะเท่านั้นถึงจะมีการทำขึ้นเพื่อแสดงหรือสาธิตให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เล่น


ซึ่งของเล่นโบราณที่สมัยก่อนเป็นที่นิยมมากแต่ปัจจุบันได้สูญหายไปแล้วเกือบ 100 % มีกว่า 300ชนิด อาทิ ลูกข่างตะปู จะมีแต่การสาธิตในงานประเพณีภาคเหนือ ส่วนภาคกลาง อีสาน ใต้ การละเล่นลูกข่างได้สูญหายไปแล้ว ,พะโพล๊ะ นำเอาไม้ไผ่มาทำเป็นปืนอัดลมยิงด้วยกระสุนกระดาษยิงเล่น ,จานบินไม้ไผ่ เล่นสนุก ฝ่ามือ 2ข้าง ประกบแกนไม้ ปั่น จานบินหมุนลอยขึ้นบนอากาศ


ขลุ่ยเสียงนก เป่าเลียนเสียงนกได้หลายตัว เป่าบ่อย ๆ ปอดแข็งแรง ฝึกสังเกตการฟังเสียงนก , จักจั่น จับด้ามไม้ แกว่ง เกิดเสียงคล้ายเสียงจักจั่น, งูกินนิ้ว เล่นสนุก เล่นได้ทุกวัย ใช้นิ้วใส่ปากงู ดึงหาง ยิ่งดึงยิ่งแน่น ถ้าดันหาง..งูย่น..ปากจะอ้า ,บินร่อน จับสันใต้บินร่อน ปาพุ่งไปข้างหน้า จะบินร่อนไปจนหมดแรงส่ง พัฒนากล้ามเนื้อแขนและสายตา ,โคมตุ้งติ้ง แขวน โคมจะหมุนไปมาเอง ,หนูดุ๊กดิ๊ก จับด้ามไม้แยกออก ขยับขึ้นลง-ซ้ายขวา จะเห็นสีสรรสวยงาม ,ไม้มายา จับด้ามไม้สะบัดออก กระดาษพุ่งออกไปแล้วกลับมา ,พัดสีรุ้ง สีสวย พัดเย้น ลิ้นมังกร เป่าลม ปลายที่ม้วนจะยืดออก มีเสียงเบา ๆ ,หุ่นเชิด จับด้าม ดึงเชือก แขนขาจะขยับ ,ป๋องแป๋ง จับด้ามไม้ บิดไป-มา ลูกตุ้กระทบหน้ากลองดังป๊องแป๊ง ,กังหันแต๊กแต๊ก ใบพัดหมุนดี เสียงดัง เมื่อลมกระทบใบ และว่าวแสนสนุก บินง่าย กินลมดี สำหรับเด็กหัดวิ่ง ซึ่งว่าวแสนสนุกนี้ยังเห็นมีเล่นกันที่สนามหลวงอยู่บ้าง


จริงๆ แล้วของเล่นพื้นบ้าน ของเล่นโบราณของไทยเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าความสนุกสนาน หรือการอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาการทำของเล่นพื้นบ้านอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้ของเด็กการเล่นที่หลากหลายจะกระตุ้นเซลล์สมองของเด็กให้แผ่ขยายได้อย่างเต็มที่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้และจดจำ พัฒนาเด็กทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ คลายเครียด


ปัจจุบันเด็กๆ สามารถเรียนรู้หลักการทางวิทยาศาสตร์จากของเล่นพื้นบ้านเป็น 5กลุ่ม คือ
1. กลุ่มเสียง เช่น จักจั่น กังหัน ป๋องแป๋ง
2.กลุ่มแรงและแรงดึงกลับ เช่น หุ่นเชิด ชุดชัก หนังสติ๊ก
3.กลุ่มความดันอากาศและแรงยก เช่น พะโพล๊ะ
4.กลุ่มจุดศูนย์ถ่วง ฝึกการทรงตัว เช่น ขาหยั่ง เดินกลา เรือใบลาน
5.กลุ่มคาน/ล้อ/เพลา เช่น ล้อคะทา รถเด็กเล่นที่ทำจากไม้ไผ่นำมาพาดไว้ที่คอแล้วดันไปข้างหน้า เป็นต้น


นอกจากนี้ของเล่นบางอย่างยังจัดอยู่ในกลุ่มสร้างทักษะชีวิต เช่น ชฎาลิเก เป็นการสวมบทบาทสมมติสอนให้เด็กรู้จักใช้ชีวิตจริงในสังคม

ปัญหาวัยรุ่นในสังคมบริโภคนิยม

ปัญหาวัยรุ่นในสังคมบริโภคนิยมรายละเอียด : ความหดหู่ชนิดรุนแรงเกิดขึ้นกับสังคมไทยอีกครั้ง ยังไม่ทันหายช็อกกับเหตุการณ์นักเรียนชั้น ม.5 ที่ปากพนังยิงกราดใส่เพื่อนนักเรียนกลางแถวเคารพธงชาติตอนเช้า จนเพื่อนตายและบาดเจ็บไปหลายคน เหตุการณ์เกิดซ้อนขึ้นมาอีกเมื่อนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ บุกยิงอาจารย์เสียชีวิต แม่อาจารย์บาดเจ็บ สาเหตุมาจากอกหักจากสาวเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันที่เป็นหลานของอาจารย์ ขณะที่หนังสือพิมพ์เช้าวันจันทร์ที่มีเรื่องราวของการฆ่าอาจารย์และพิษรักพาดหัวตัวใหญ่หน้าหนึ่งแทบทุกฉบับ ในหน้าในๆ ที่เป็นข่าวย่อย มีเรื่องตำรวจนครปฐมจับวัยรุ่นแก๊งซิ่งกวนเมือง 85 คน ที่ก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ตำรวจเมืองสิงห์บุรีจับวัยรุ่นชายหญิงตั้งแก๊งลักมอเตอร์ไซค์ ตำรวจอยุธยาจับวัยรุ่น 6 คน ที่รุมถอดเสื้อผ้าเด็กหญิงอายุ 13 ขวบ เพื่อข่มขืน ตำรวจ สน.ประเวศจับแก๊งวัยรุ่นที่ทำมาหากินด้วยการตระเวนปล้นโทรศัพท์มือถือตามห้างสรรพสินค้า และป้ายรถเมล์ ตำรวจพัทยาจับ 4 ใน 11 วัยรุ่นที่ลวงเด็กหญิงอายุ 14 ปี 2 คน ไปรุมข่มขืนกลางไร่มัน โดยมีเพื่อนที่เป็นเด็กหญิงเป็นนางนกต่อช่วยหลอกเพื่อนไป
ทั้งหมดเป็นข่าวที่เกิดขึ้นในวันเดียว คือเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และเป็นแค่เพียงที่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เช้าวันจันทร์ วัยรุ่นที่เป็นข่าวเหล่านี้มีตั้งแต่อายุ 12 ขวบถึง 21 ปี ในข่าววันเดียวกันมีคำสัมภาษณ์ของผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่สองคน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายปองพล อดิเรกสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ความเห็นของทั้งสองคนออกมาในทางเดียวกันคือ วัยรุ่นไทยเลียนแบบพฤติกรรมตะวันตกมากเกินไป ข้อสรุปแบบนี้ หากฟังวูบแรกจะเกิดความรู้สึก "ฮืม เห็นด้วย" แต่หากลองนึกดูๆ การสรุปแบบนี้ น่าจะเป็นการสรุปแบบยอมจำนนมากกว่าที่จะสรุปเพื่อแก้ไข
เมื่อเป็นอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกเสียแล้ว มันก็แก้ยาก วัฒนธรรมตะวันตกที่ส่งเสริมการบริโภคนิยม ส่งเสริมการซื้อเกินความจำเป็น สร้างความสำคัญให้กับผู้มีอำนาจซื้อ ลดบทบาทของผู้ที่จะสกัดกั้นการซื้ออย่างบ้าระห่ำเกินความจำเป็น
วัยรุ่นเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของการขายสินค้าทุกประเภท การตลาดที่สร้างความอยากจะมีให้กับวัยรุ่นแบบเกินวัย และยิ่งให้ไร้สติที่จะคิดถึงเหตุถึงผลของความจำเป็นยิ่งดี การตลาดที่พยายามดิสเครดิตความคิดของผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงเป็นใยพฤติกรรมของวัยรุ่นให้เป็นพวกที่เชย เป็นพวกที่สังคมวัยรุ่นต้องปฏิเสธ เด็กกลายเป็นพระเจ้าของสังคมการตลาด ที่ใครแตะต้องไม่ได้ นักการตลาดกระตุ้นให้วัยรุ่นอยากได้แบบเกินวัยไปไกล เลยเถิดไปถึงเรื่องเซ็กซ์ และการกระตุ้นเซ็กซ์เพื่อขายสินค้าให้มากที่สุด สังคมที่ถูกกลยุทธ์ทางการตลาดครอบงำ ขณะที่พัฒนาการทางด้านวิธีคิดตามไม่ทัน
สังคมที่ระบบการศึกษาเต็มไปด้วยความสับสนในทิศทาง สร้างวิธีคิด และความพร้อมทางด้านจิตใจไม่ทันกับแรงกระตุ้นของกลยุทธ์บริโภคนิยมเสรีที่เลยเถิด สภาพความสับสนแบบนี้เกิดขึ้นทั่วไปในสังคมการค้าเสรี สังคมที่ให้ความสำคัญต่อความรู้ในด้านการตลาดมากกว่าความสำคัญของศีลธรรมจรรยา
แล้วสรุปว่าเป็นวัฒนธรรมตะวันตก การสรุปว่าพฤติกรรมที่ย่ำแย่ของวัยรุ่น เป็นการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก คือการยอมจำนน เพราะในโลกที่ให้คุณค่าราคากับนักการตลาดมากกว่าให้คุณค่ากับนักจริยธรรม เป็นกระแสใหญ่และแรงเกินกว่าต้านทานได้ หากคิดจะแก้ไขย่อมต้องไม่ใช่การสรุปว่าแค่เป็นการเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตก แต่จะต้องเริ่มที่จะมองปัญหาให้ละเอียด และเริ่มค่านิยมการให้คุณค่าเสียใหม่ งานด้านการตลาดที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ยั่วยุให้เกิดการซื้อเกินความจำเป็น กับงานด้านในสติกับสังคม ให้ความคิดถึงเรื่องศีลธรรมจรรยา ควรจะให้คุณค่ากับงานแบบไหน งานแบบไหนควรจะส่งเสริม อย่างไหนควรจะควบคุม และหากจะแก้ให้ได้ผล จะต้องลงมือลงแรงกันจริงจังอย่างมีทิศทาง เมื่อให้คุณค่ากับยอดขาย และผลกำไร มากกว่าการมองถึงผลกระทบโดยละเอียด คงต้องยอมให้วัฒนธรรมตะวันตกทำร้ายสังคมอยู่อย่างนี้ จนกว่าผู้นำประเทศจะนึกขึ้นได้ว่าการกระตุ้นการขายอย่างไร้ความรับผิดชอบ กระตุ้นให้เด็กซื้อเกินความจำเป็น ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ขาดความรับผิดชอบในผลที่จะเกิดตามมา และผู้นำคนนั้นลงมือที่จะเปลี่ยนทิศทางความคิดของเยาวชนไทย
ประเทศเรามีผู้นำแบบนั้นหรือไม่

วัยรุ่นกับการแต่งหน้า

การแต่งหน้าสำหรับวัยรุ่น

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังแตกต่างจากวัยอื่นๆ การเอาใจใส่จึงมากกว่าผู้หญิงวัยอื่นๆ การดูแลผิวสำหรับวัยรุ่นนั้นควรเริ่มตั้งแต่อายุได้ประมาณ 10 -11 ปี เพราะเป็นวัยที่เริ่มมีสิวขึ้นแล้วค่ะ ดังนั้นควรใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้น ซึ่งบางทีอาจจะแก้ไขได้ยากในภายหลัง


วัยรุ่นโดยมากแล้วมักจะเริ่มแต่งหน้าบางๆตั้งแต่อายุ 12-13 เมื่อเริ่มรู้สึกห่วงความสวยความงามของตนเอง ดังนั้นการแต่งหน้าสำหรับวัยรุ่นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดคือการแต่งหน้าให้เป็นธรรมชาติและดูเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรแต่งจนเข้มกลายเป็นงิ้วจนเกินวัย และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคามากจนเกินไป ผลิตภัณฑ์ราคาถูกก็สามารถทำให้เราดูดีได้เช่นกันนะจ๊ะ
 Foundation
สำหรับวัยรุ่นแล้วยังไม่จำเป็นมากนัก เพราะนอกจากจะทำให้อุดตันรูขุมขนแล้วก็ยังทำให้ดูโอเวอร์อีกต่างหากน่ะสิ มองข้ามครีมรองพื้นไปเลยและใช้เฉพาะคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดรอยสิว และปัดแป้งฝุ่นเพียงเล็กน้อยให้ทั่วใบหน้า แต่ก็ไม่หมายความว่าน้องๆวัยรุ่นไม่สามารถที่จะใช้รองพื้นได้เลยนะคะ หากต้องการจะใช้ ให้ใช้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นค่ะ และแนะนำให้ใช้เป็นชนิดน้ำ เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด และที่สำคัญที่สุดนะคะ รองพื้นควรจะต้องทำเป็นอย่างแรกก่อนใช้เครื่องสำอางชนิดอื่นๆค่ะ
 Concealer
เราต้องรู้จักวิธีซ่อนปัญหาของผิวหน้าของเราเสียก่อน โดยเฉพาะสิว ให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทาให้ทั่วใบหน้าและให้ทาซ้ำกับรอยด่างดำและสิว หลังจากนั้นปล่อยให้ซึมลงผิวค่ะ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อผิวส่วนนั้นจะได้เรียบเนียนและไม่ขรุขระ ให้แต้มคอนซีลเลอร์ลงไปตรงจุดด่างดำและสิวเล็กน้อย ทำอย่างเบาๆและเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ เลือกคอนซีลเลอร์สีที่ไม่ต่างจากผิวหน้าเรามากนัก หรือสีเข้มกว่าใบหน้าเราเล็กน้อย หลังจากนั้นให้ลงแป้ง ทางที่ดีที่สุดควรเป็นสีโทนเหลืองค่ะ และอย่าลืมปัดแป้งที่เป็นคราบที่ติดไปกับคอนซีลเลอร์ด้วยนะคะ ไม่งั้นจะเป็นด่างๆ






Eye Make-up
ทาตาแค่เพียงบางๆ และไม่ควรใช้สีเมทัลลิคที่กำลังอินเทรนด์อยู่นี่ล่ะค่ะ หรือจะเป็นสีที่มีประกาย เพราะกากจากประกายจะเข้าตาเราได้และทำให้เกิดการระคายเคือง สำหรับอายแชโดว์นั้นไม่จำเป็นว่าต้องเข้ากับสีดวงตาของเรา สำหรับวัยรุ่นไทยควรใช้สีโทนฟ้าและน้ำตาล
หากจะปัดมาสคาร่า ใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเข้มจะเหมาะที่สุดกับผมสีดำ และมาสคาร่ากันน้ำก็ไม่จำเป็นต้องใช้หากเราไม่ได้เล่นกีฬาหรือต้องอยู่ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว ถึงแม้ว่ามาสคาร่าชนิดนี้จะติดทนแต่เวลาเช็ดออกก็ยากเหมือนกันค่ะ และสำหรับวัยรุ่นการใช้เครื่องสำอางน้อยชิ้นจะดีกว่าและไม่ต้องกังวลกับเรื่องน่ารำคาญใจเกี่ยวกับพวกมันอีกด้วย
หากจะใช้อายไลเนอร์ ใช้ชนิดที่เป็นดินสอจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เป็นชนิดน้ำ ควรหัดเขียนขอบตาอย่างระมัดระวัง และมือควรจะนิ่งเพื่อให้ได้เส้นที่ตรง และถ้าทาแล้วสีเข้มเกินไปให้ค่อยๆเช็ดออกด้วยกระดาษทิชชู่ค่ะ


 Blush
ชนิดที่เป็นน้ำและแท่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเพราะว่าง่ายในการใช้ และเรียบเนียนอีกด้วย สีชมพูและสีส้มพีชเข้าได้กับทุกโทนสีผิว ให้ปัดตรงโหนกแก้มโดยการยิ้มจะทำให้เราเห็นโหนกแก้มชัดเจน และปัดออกไปตามไรผมด้านข้างค่ะ
 Lips
ใช้ลิปกลอสเพื่อให้ได้ริมฝีปากที่เย้ายวน หากต้องการใช้ลิปสติกสีในเวลากลางคืนลองใช้สีที่อ่อนๆ หากต้องการเพิ่มความมันวาวให้ทาลิปกลอสทับอีกชั้นหนึ่ง และควรมีลิปกลอสติดตัวอยู่เสมอค่ะ การเลือกใช้สีลิปสติกให้เข้ากับการแต่งหน้า ควรเลือกดูในเวลากลางวันที่สว่างๆ และควรลบสีที่คิดว่าเข้มเกินไปออกบ้างนะคะ เพราะวัยรุ่นไม่เหมาะกับสีเข้มๆ และหากเคยมีปัญหาระคายเคืองผิวมาแล้ว ควรระงับการใช้เครื่องสำอางไปสักพักจนกว่าจะพบว่าเกิดจากอะไร และหาทางแก้ปัญหาซะ

วัยรุ่นกับนิยายเกาหลี

 เรื่องสั้นเรื่อง : วัยรุ่นกับนิยายเกาหลี



วัยรุ่นกับนิยายเกาหลี
บางทีการเฝ้ามองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา ก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง และต้องย้อนมองดูตัวตนในสังคมบ้านเราด้วย เช่นเดียวกับรสนิยมการอ่านหนังสือในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ในประเทศของเราทุกวันนี้ ใครที่เคยไปเที่ยวงานสัปดาห์แห่งชาติครั้งที่ผ่านๆ มา จะเห็นว่าบางสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์นิยายเกาหลีออกมาขายนั้น มีนักอ่านวัยรุ่นชายหญิงเบียดเสียดและเข้าคิวซื้อหนังสืออย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นความจริงที่ทำให้วงการหนังสือ รวมทั้งนักเขียนและสำนักพิมพ์ในบ้านเมืองเรา ถึงกับตะลึงและพยายามค้นหาความจริงว่า มันเป็นเพราะอะไร และทำไมกระแสวัฒนธรรมจากเกาหลีจึงหลั่งไหลเข้ามาอย่างเชี่ยวกราก

ดังนั้น การค้นหาความจริงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ควรอย่างยิ่งที่จะต้องไม่มีอคติใดๆ กับยุคสมัย....โดยเฉพาะยุคสมัยของเด็กวัยรุ่นยุคใหม่ ที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของวัฒนธรรมมากมาย ทั้งจากซีกโลกตะวันตกและตะวันออก ซึ่งมันเข้ามาได้หลายทาง และในโลกของดิจิทัล ก็ไม่มีสิ่งใดๆ จะสามารถสกัดกั้นได้เลย

แต่ควรจะยอมรับความจริง มากกว่าการต่อต้านหรือปฏิเสธ และที่สำคัญก็คือไม่ควรหลอกตัวเองอย่างเด็ดขาด ใครที่เคยดูละครเกาหลี น่าจะให้คำตอบได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเพราะอะไร จึงทำให้วัยรุ่นไทยหันไปอ่านหนังสือนิยายเกาหลีกันมากมาย และการที่ละครหรือหนังชุดจากเกาหลี เข้ามายึดครองบนจอแก้วในประเทศของเรา โดยสามารถจะตรึงใจคนดูได้อย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้ผู้ผลิตหนังไทยและละครไทยบางเรื่อง ถึงกับต้องสร้างผลงานออกมาให้มีบรรยากาศแบบเกาหลีเลยทีเดียว

ถ้ามองด้วยความยุติธรรมแล้ว ต้องยอมรับนะครับว่า งานศิลปะการแสดงแขนงนี้ของเกาหลีนั้น ไม่ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะการสร้างพล็อตเรื่อง และเนื้อหา หลายๆ เรื่องต้องบอกได้เลยว่าสุดยอด เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกเลย ที่มีคนดูติดกันอย่างงอมแงม จนทีวีทุกช่องในบ้านเราต้องมีหนังหรือละครเกาหลีไม่มากก็น้อย

หนังสือนิยายเกาหลีก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่นักอ่านวัยรุ่นไทยให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม และสามารถยึดตลาดวงการหนังสือแปลไว้ได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แม้ว่าผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองว่า นิยายเกาหลีส่วนมากนั้น เนื้อหามีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือไร้สาระก็ตาม แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปแล้ว....แง่มุมความรักต่างๆ ที่ถูกนำเสนอผ่านออกมาในนิยายเหล่านั้น แท้จริงแล้วก็คือภาพสะท้อนยุคสมัยของเขา และวัยของเขาซึ่งกำลังเป็นวัยรุ่นนั่นเอง

ในนิยายรักเกาหลีหลายๆ เรื่อง เหมือนจะพูดแทนใจกลุ่มคนอ่านวัยรุ่น ซึ่งเป็นภาษาที่สื่อสารกันอย่างเข้าใจ แน่นอนเนื้อหาสาระอาจจะไม่ขั้นต้องปลุกให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติ แต่แง่มุมความรักที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งคนวัยนี้สามารถมองเห็นได้ เข้าใจได้ และเป็นโลกเฉพาะที่สัมผัสได้นั่นแหละ จึงทำให้คนอ่านในช่วงวัยรุ่นรับสารได้ง่ายๆ และยังโดนใจอีกด้วย

นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย ถ้าหนุ่มสาววัยรุ่นไทยจะหันไปอ่านนิยายเกาหลีกันมากมาย เพราะความจริงก็คือไม่มีนิยายไทยจะตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ดีกว่า หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่สามารถจะสื่อสารกับเขาได้

แต่ที่แปลกก็คือ ทุกวันนี้มีนักเขียนไทยบางคน เขียนนิยายรักโดยใช้ชื่อนามปากกาเป็นภาษาเกาหลีแล้วนะจะบอกให้!
 




 

“ศัลยกรรม” จำเป็นกับวัยรุ่นจริงหรือ?

ปัจจุบันศัลยกรรมความงาม” กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น โดยเฉพาะหนุ่มสาวระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการทำศัลยกรรมลบรอยสิว รอยแผลเป็น เสริมจมูก เสริมคาง ฉีดปาก กรีดตา ทำหน้าใส ล้วนแล้วแต่มาจากกระแสเกาหลีที่กำลังระบาดในหมู่วัยรุ่นบ้านเรา ทำให้เรื่องศัลยกรรมตบแต่งเป็นเรื่องธรรมดา
จากคำบอกเหล่าของวัยรุ่น ส่วนใหญ่ให้เหตุผลง่ายๆ เพียงแค่ว่า “อยากสวย” หรือ “อยาก ดูดี” แต่บางคนกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดในวัยเรียน
“เอื้อ” โอบเอื้อ ชิโนสุนทรากร นิสิตป.โท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นสำหรับการทำศัลยกรรมว่า การทำศัลยกรรมถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่สมควรที่เกิดขึ้นในช่วงการเรียน “บางคนคิดว่าทำแล้วเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต แล้วก็ไม่เดือดร้อนกับเรื่องค่าใช้จ่ายก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าอยู่ในวัยเรียน คิดว่า มันเกินความจำเป็น เอาเวลามาตั้งใจเรียนดีกว่า เรียนจบทำงานเก็บเงิน แล้วค่อยไปทำศัลยกรรมก็คงไม่แปลก”
“โดยส่วนตัวคิดว่า ศัลยกรรมไม่มีความจำเป็นกับชีวิต ควรพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ดีกว่า แต่ถ้ารู้สึกไม่พอใจ ก็คงไม่ถึงขั้นที่ต้องทำศัลยกรรม เพราะเดี๋ยวนี้เมคอัพช่วยได้เยอะ ลบจุดด้อย เสริมจุดเด่น มั่นใจได้เหมือนกันโดยไม่ต้องเจ็บตัว”
ทั้งนี้ เอื้อไม่ลืมที่จะยกตัวอย่างของกระแสความแรงของแฟชั่นเกาหลี ที่ล้วนแต่แต่งเสริมเติมแต่งด้วยการทำศัลยกรรม “บาง ครั้งกระแสแฟชั่นมีผลให้ค่านิยมเปลี่ยนอย่าง ต้องผอม ขาว จมูกโด่ง ตาโต ถึงจะเรียกว่าดูดี เห็นได้ชัดมาก อย่างหนุ่มๆ สาวๆ เกาหลี ดาราทำศัลยกรรมเกือบทุกคน ผู้ชายบางคนถึงขนาดโพสต์ข้อความลงในอินเตอร์เน็ตเพื่อถามหาวิธีการดูแลเอง ดูแลผิวหน้า”
“นิว” ปิยะนันท์ ขุนทอง นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา เป็นอีกหนึ่งคนที่กลัวการทำศัลยกรรม เพราะต้องเสี่ยงกับอันตรายและเชื้อโรคที่ตามมา
“เรา สังเกตุอาการเพื่อนๆ บางคนที่ตัดสินใจทำศัลยกรรม เพราะหลังจากไปทำแล้ว ต้องมานั่งกังวล ห้ามจับ ห้ามนอนตะแคง ต้องระวังไปทุกอย่าง หรือถ้าไม่ดูแล อาจจะทำให้ติดเชื้อ ติดโรคได้ ทั้งร่างกาย และหน้าตาเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เราให้มาตั้งแต่เกิด ทำไมเราต้องทำลายมันด้วยการเอานำสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ไปในร่างกาย”
แต่สำหรับ “น้อยหน่า” ทิพย์ทัณตรี รุจิรานนท์ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สาวน้อยประเภทสอง ผู้มีตำแหน่ง Miss Tiffany 2005 บอกถึงสาเหตุที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมเสริมจมูก ทำโบท็อก และแปลงเพศ
“สิ่งแรกที่ตัดสินใจทำ เพราะอยากดูดี อยากลบปมด้อยที่ไม่ดีของเราออกไป แต่ก่อนที่จะทำศัลยกรรม เราต้องศึกษาเยอะมาก ต้องดูว่าเมื่อทำแล้วจะดี หรือว่าแง่ลง ร่างกายเราพร้อมมากแค่ไหน คุณหมอเชื่อถือได้หรือไม่”
น้อยหน่า เล่าว่า เธอเริ่มตัดสินใจทำศัลยกรรมตั้งแต่ ม. 5 “คน ที่ทำศัลยกรรมครั้งแรก จะกลัว ไม่กล้า แต่ถ้าลองได้ทำแล้วก็อยากจะทำอีก หลายคนทำตามแฟชั่น เห็นเพื่อนทำก็อยากทำตาม มีเพื่อนบางคนมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม เราก็ยินดี แต่ก็ไม่ได้ส่งเสริม แต่ถ้าอยากทำต้องศึกษาให้ดี อย่าทำเพราะแฟชั่นหรือตามเพื่อน”
ด้าน เบ็ญจา เตากล่ำ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต กล่าวว่า การทำศัลยกรรมในหมู่วัยรุ่น อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ควรสนใจและเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับวัยรุ่น
“เรื่อง ของจิตใจ และกระบวนการทำศัลยกรรมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าหลายประเทศจะมองว่าการทำศัลยกรรมเป็นเรื่องธรรมดาของชายและหญิง แต่สำหรับประเทศไทย คงต้องมองที่สังคมรอบข้าง เพราะการทำศัลยกรรมบางอย่างถือว่าผิด และไม่สมควรปฏิบัติ ดังนั้นวัยรุ่นคนไหน อยากทำศัลยกรรมตบแต่ง ใบหน้า หรือร่างกาย ขอคำนึงถึงจิตใจของตัวเอง ถามถึงเหตุผลว่าทำเพราะอะไร และที่สำคัญอายุ และครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ บางครั้งสื่อ และกระแสแฟชั่นก็มีส่วนผลักดันและสร้างค่านิยมให้กับวัยรุ่น ไม่ค่อยพิถีพิถัน เรื่องเพศและวัย ตัดสินใจตามอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง”
“มหาวิทยาลัย ควรจัดตั้งศูนย์แนะนำให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาในทุกๆ เรื่อง แม้ว่าการทำศัลยกรรมในหมู่วัยรุ่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เราจะปล่อยปละละเลยคงไม่ได้ อย่างน้อยเราต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้อง” คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มสด. กล่าวทิ้งท้าย

วัยรุ่นไทยกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์

วัยรุ่นไทยกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์

วัยรุ่นไทยกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์
           ปัจจุบันกระแสนิยมของวัฒนธรรมเกาหลี หรือ เกาหลีฟีเว่อร์ มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นไทยเป็นอย่างมาก ทำให้วัยรุ่นไทยรับอิทธพลต่างๆมาจากเกาหลี
 
          อิทธิพลวัฒนธรรมเกาหลีที่มีต่อวัยรุ่นไทยเช่น วัฒนธรรมการแต่งกายตามศิลปิน ดาราเกาหลีที่ตนชื่นชอบ นอกจากนี้ยังเกิดความสนใจที่จะเรียนภาษาเกาหลีเพิ่มขึ้น เพื่อให้รู้เนื้อหาในภาพยนตร์ ละคร และเพลงที่ตนชื่นชอบ

        
         แต่ถึงอย่างไรกระแสนิยมของวัฒนธรรมเกาหลีอาจจะมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นไทยบ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัวที่ต้องให้ความสำคัญดูแลเอาใจใส่ อบรมสั่งสอนบุตรของตน เปิดกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของเด็ก เข้าใจความเป็นไปของโลกปัจจุบัน ต้องคอยดูแล อบรมสั่งสอนให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบของสิ่งที่ดีงาม และไม่ทำลายวัฒนธรรมไทยอันทรงคุณค่าที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน

ปัญหาการแต่งกายของนักศึกษา

ปัญหาการแต่งกายของนักศึกษาทั้งหญิงและชาย ตามกระแสแฟชั่นในสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชน สร้างความสับสนให้แก่ทั้งตัวอาจารย์ และนักศึกษาว่าอะไรคือ ความถูกต้องในการสวมใส่เข้าเรียนและสอบ ส่วนแม่ค้าชอบ ชุดนักศึกษาประยุกต์สุดฮิตที่ขายดี ต้อง เล็ก ฟิต สั้น
 
แฟชั่นชุดนักศึกษายุคใหม่ที่เน้นตามกระแสแฟชั่นได้รับความนิยมสูง ขายดีทั้งชุดของผู้ชายและผู้หญิงเพราะราคาถูก ดูทันสมัย ทางด้านผู้ปกครองก็ปวดใจ เพราะชุดที่ลูกๆ สวมใส่กันนั้น ช่างวาบหวามสุดๆ ผ่าลึก กระโปรงสั้น เสื้อตัวเล็ก ฟิต รัดติ้ว เกรงเกิดภัยกับลูกตัวเอง
 
นางมลธิรา ประมูล เจ้าของร้านขายชุดนักศึกษาย่านรังสิต เล่าว่า ชุดนักศึกษาในปัจจุบัน ราคาไม่แพงมากนักเสื้อนักศึกษาหญิง 80-200 บาท ของผู้ชายแพงขึ้นหน่อย ประมาณ 150-300 บาท ส่วนราคากระโปรงประมาณ 150 บาทขึ้นไป ราคากางเกงประมาณ 200 บาทขึ้นไป
 
ชุดนักศึกษาที่ขายดีที่สุด คงจะเป็นเสื้อผ้าที่เข้ารูป และพอดีกับรูปร่าง ที่ปัจจุบัน จะนิยมกันมากที่สุด และคิดว่า อนาคตก็ยังจะเป็นแฟชั่นไปเรื่อยๆ คงไม่กลับไปเน้นเสื้อตัวใหญ่เหมือนในอดีต และเน้นแฟชั่นมากขึ้น ทำให้บางคนยอมเลือกซื้อเสื้อผ้าจากร้าน หรือยี่ห้อที่มีชื่อเสียง เพื่อมาแต่งเป็นชุดนักศึกษา บางตัวราคาหลายพันบาท และส่วนมากใส่แล้ว ไม่ค่อยเรียบร้อย
 
นายประพล ปัญจกิจ เจ้าของร้านเสื้อชุดนักศึกษาอีกคนหนึ่ง บอกว่า ร้านของเขาจะเน้นชุดนักศึกษาแบบทั่วๆ ไป ไม่เน้นแฟชั่น เพราะถือว่า เป็นเครื่องแบบที่ขายได้ตลอดกาล ไม่จำเป็นต้องไปตามแฟชั่น ในส่วนของราคาก็ไม่แพง อยู่ที่ 150 บาทขึ้นไป
 
ด้านผู้ปกครองนักศึกษา นางอัญชลี มีศรี เปิดเผยความในใจว่า มีลูกสาวที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีเวลาลูกจะไปเรียน อยากให้ลูกใส่ชุดที่เรียบร้อยกว่านี้ เพราะชุดนักศึกษาในปัจจุบัน ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร แต่ดีอยู่ตรงที่สมัยนี้ราคาไม่แพง ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง
 
ในส่วนของความคิดเห็นของนักศึกษา กับแฟชั่นชุดนักศึกษา ยุค 2003
 
นางสาวนิตยา บุญทา นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เล่าว่า ชุดนักศึกษาของเธอราคาจะไม่แพง และจะเน้นแฟชั่นบ้างนิดหน่อย คือ จะเป็นชุดที่พอดีตัว แต่ยังคงความเรียบร้อยของชุดนักศึกษาไว้
 
นายณรงค์เดช เหลืองอ่อน นักศึกษาชาย บอกว่า ชุดนักศึกษาของเขาเป็นชุดที่สามารถใส่ไปเที่ยวได้ด้วย เนื่องจาก เขาเลือกซื้อจากห้องเสื้อที่มีชื่อเสียง รูปแบบของชุดก็จะเน้นแฟชั่นบ้าง ถึงจะมีราคาแพงแต่ก็คิดว่าคุ้ม เพราะสามารถใส่ไปได้ในหลายๆ โอกาส
 
สำหรับ นางสาวฤทัยรัตน์ ภัทรพงศ์ธร นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาไปเรียนได้กล่าวถึง เครื่องแบบนักศึกษาว่า ตนเองชอบใส่ชุดนักศึกษามากกว่า เพราะเป็นชุดที่มีความเรียบร้อย และราคาก็ไม่แพงไม่ต้องไปตามแฟชั่นเหมือนชุดเที่ยวอื่นๆ
 
ทางด้านมหาวิทยาลัยรังสิต ก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งกายของนักศึกษาในปัจจุบัน ที่ไม่สุภาพเรียบร้อยแต่ก็พยายามหาทางป้องกันและปรามอยู่เสมอ แต่ติดตรงไม่มีบรรทัดฐานที่ชัดเจนว่า ชุดนักศึกษาที่ถูกต้องเป็นแบบใด ส่วนมากมักจะทำตามกระแสเป็นส่วนใหญ่ เพราะอาจารย์ก็หวั่นลูกศิษย์ตกเป็นเหยื่อกาม พวกโรคจิต ถ้าจะใส่ควรคำนึงถึงสวัสดิภาพของตัวเอง
 
นายวิเชียร พลอยทับทิม หัวหน้าแผนกพัฒนาและวิจัยนักศึกษา สำนักงานกิจการนักศึกษา ฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต แสดงความคิดเห็นว่า ส่วนตัวมีความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เท่าที่พบนักศึกษาที่แต่งกายแบบนี้ อาจไม่มีตารางเรียนในวันนั้น หรืออาจารย์ผู้สอนคงไม่ให้เข้าเรียน เพราะฝ่ายกิจการนักศึกษาคอยประสานงานกับคณะตลอดเรื่องการแต่งกายของนักศึกษา โดยเฉพาะในชั้นเรียน
 
ส่วนที่แต่งแล้วมองดูไม่ดีมากๆ เช่น ใส่เสื้อตัวเล็กๆ ใส่กระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อออกนอกกระโปรง หรือบางคนใส่กระโปรงสั้นเกินสมควร ก็เคยทำการตักเตือนด้วยวาจา เด็กก็ให้ข้อมูลว่า ไม่มีเรียน เพราะว่า ถ้ามีเรียนก็คงไม่แต่ง หรืออย่างเด็กบางคนพอตักเตือนไปแล้ว ก็จะทำหน้าอายๆ และบอกว่า "เป็นแฟชั่นค่ะ"
 
เราจะใช้มาตรการในการว่ากล่าวตักเตือนมากกว่า เพราะถือว่าโตๆ กันแล้ว และจะขอความร่วมมือจากอาจารย์ผู้สอนให้ช่วยดูแลด้วย โดยเฉพาะในห้องเรียน รวมถึงหน่วยงานสนับสนุนทุกหน่วยงานช่วยดูแลในเรื่องการแต่งกายของนักศึกษาด้วย เช่น สำนักงานทะเบียน ถ้ามีเด็กแต่งกายไม่เรียบร้อยมาก็สมควรที่จะว่ากล่าวตักเตือน
 
อยากเชิญชวนนักศึกษาหญิงชาย ให้แต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยในการมาเรียน หรือถ้าไม่มีเรียน ใส่ชุดนอกมา ก็ขอให้แต่งกายสุภาพ
 
โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ควรแต่งกายให้มิดชิด เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางเพศจากผู้ที่ไม่ประสงค์ดี
 
อยากให้นักศึกษามีจิตสำนึกของตนเองในการแต่งกายให้เหมาะกับกาลเทศะ จะนุ่งสั้นก็ให้พองาม ให้เหมาะกับการเป็นกุลสตรี และก็เพื่อตัวนักศึกษาเอง และถือเป็นการให้เกียรติสถาบันด้วย

วัฒนธรรมไทยกับวัยรุ่นในปัจจุบัน

วัฒนธรรมไทยกับวัยรุ่นในปัจจุบัน
วัฒนธรรมไทย
วัฒนธรรมไทยกับวัยรุ่นในปัจจุบัน
            จากสังคมไทยในปัจจุบัน  สิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน  คงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราปฏิเสธไม่ได้  ซึ่งได้แก่เรื่องวัฒนธรรมของไทยกับเยาวชนของไทย  ในอดีตวัฒนธรรมของไทยเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม
            แต่ในปัจจุบันนับตั้งแต่คนไทยอย่างเราไปรับเอาอิทธิพลของชาวต่างชาติเข้ามา  เช่น  วัฒนธรรมของเกาหลี,วัฒนธรรมของวัยรุ่นญีปุ่น  ฯลฯ  ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดในเรื่องของการแต่งกาย,การเจาะตามร่างกายส่วนต่างๆ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  ซึ่งในสมัยก่อนพ่อแม่ของเราจะสอนให้รักนวลสงวนตัว  แต่งตัวรัดกุมมิดชิด  ไม่เป็นที่ล่อตาล่อใจจากเพศตรงข้าม  แต่ในปัจจจุบันวัฒนธรรมของเราได้เปลี่ยนไป  จากที่เคยแต่งกายสุภาพสมกับเป็นกุลสตรีไทย  ก็เหลือเพียงการนุ่งน้อยห่มน้อย  แทบจะปกปิดอะไรไม่ได้  และปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่  คือเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  ซึ่งเยาวชนของไทยในปัจจุบัน  ไปเลียนแบบพฤติกรรมของชาวต่างชาติมาเป็นจำนวนมาก  เลยมองเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ไม่มีความสำคัญอะไร  ซึ่งเป็นการยอมรับวัฒนธรรมที่ผิดๆ  ของชาวต่างชาติเข้ามา  ในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับชาติที่เราจะต้องนำมาคิดและพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร  เยาวชนคือผู้ที่จะต้องรักษาวัฒนธรรมสืบต่อไป  จะเป็นอย่างไรถ้าเรารับแต่วัฒนธรรมที่ผิด  และลืมวัฒนธรรมของไทยเราเอง
            นายสุชาติ  ไชยมะโน  นายกสมาคมเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย  ในฐานะประธานที่ปรึกษาสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร  ได้กล่าวไว้ว่า
เด็กไทยวันนี้มีความเบี่ยงเบนมากโดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ เรื่องการแต่งกายที่ขัดกับวัฒนธรรมไทยตรงที่ใส่สายเดี่ยว เอวลอย แต่ก็มีการแพร่หลายในสังคมอย่างมาก เพราะได้รับอิทธิพลจากตะวันตกโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ ขณะเดียวกันเยาวชนไทยก็ให้ความสนใจเรื่อง ประเพณีของไทยโดยเฉพาะ ประเพณีและกิจกรรมทางศาสนาน้อยมาก รวมถึง ดนตรีไทยและการแสดงแบบไทย ๆ ที่เด็กไทยไม่ค่อยสนในตรงกันข้ามกับดนตรีต่างประเทศที่เผยแพร่เข้ามามากจนลบล้างสิ่งที่เป็นของไทยไป
นอกจากนี้เรื่องอาหารการกินของไทยก็ถูกเบี่ยงเบนไป ทั้งที่ อาหารไทยเป็นอาหารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยสมุนไพรซึ่งเมื่อรับประทานแล้วก็เหมือนได้กินยาธรรมชาติโดยปริยาย แม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังให้ความสนใจทำให้อาหารไทยดังไปทั่วโลก แต่เด็กไทยกลับไม่สนใจหันไปกินอาหารฝรั่ง อย่าง พิซซ่า โดนัท
“ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของไทย คือ เอกลักษณ์ของชาติไทย และที่คนไทยเรามีความมั่นคงอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเรามีเอกลักษณ์ มีวัฒนธรรมไทยที่เป็นวิถีชีวิตของเรา แต่เวลานี้เยาวชนไทยกลับไม่สนใจแล้ว ซึ่งถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปวัฒนธรรมไทยก็อาจจะสูญไปได้ เพราะวัฒนธรรมจะต้องมีการสืบสาน ซึ่งผู้ที่จะสืบสานวัฒนธรรมไทยได้ดีก็คือเยาวชน แต่ถ้าเยาวชนหรือนักเรียนไม่ยอมรับ และไม่ยอมสืบสานวัฒนธรรมเราก็จะค่อย ๆ สูญไป และเมื่อใดก็ตามที่วัฒนธรรมของไทยสูญไป เราก็จะสูญชาติเมื่อนั้น เหมือนกับที่ผู้นำของบางประเทศกล้าออกมาประกาศว่า ประเทศของเขาล่มสลายแล้วเพราะไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง”
 

การแต่งกายของวัยรุ่นไทยสมัยนี้เป็นยังไง?

การแต่งกายของวัยรุ่นไทยสมัยนี้เป็นยังไง?




วัยรุ่นไทยกำลังนิยมการแต่งกายแบบแปลก ๆ หลุดโลก มีการโกรกผมด้วยสีเข้มสดแสบตา เจาะจมูก เจาะปาก รวมตัวกันเป็นกลุ่มเดินตามศูนย์การค้าและแหล่งชุมนุมวัยรุ่น ที่ปัจจุบันนี้เราเรียกบริเวณศูนย์การค้าเซ็นเตอร์ พ้อย ภายในสยามสแควร์ ถือว่าเป็นศูนย์รวมแฟชั่นของวัยรุ่นไทย ปรากฏว่า วัยรุ่นหนุ่มสาว อายุตั้งแต่ 12-20 ปี มารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก และแต่งกายลักษณะคล้าย ๆ กันเดินขวักไขว่เต็มไปหมด โดยแต่ละคนแต่งตัวสีสันสะดุดตา ด้วยเสื้อผ้าแปลกตาผิดไปจากแฟชั่นที่เห็นกันอยู่ทั่วไป โดยแต่ละคนต่างคิดค้นแบบการแต่งกายขึ้นมาเอง วัยรุ่นที่เป็นหญิงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันจัดจ้าน นิยมมากก็คือ สายเดี่ยว กระโปรงแคบกรอมเท้า ใส่รองเท้าส้นหนา แบบอันเดอร์กราวน์ แบบต่าง ๆ กัน นอกจากนี้ยังใส่เครื่องประดับเป็นลูกปัดขนาดใหญ่สีต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมโกรกสีผมเป็นสีสันต่าง ๆ เช่น เขียว แดง น้ำเงิน ม่วง จากการแต่งตัวที่ต่างสรรหากันมาแต่งกายแล้ว วัยรุ่นเหล่านี้ยังนิยมนำของใช้กระจุกกระจิกอื่น ๆ ติดตัวมาด้วย เช่น หวี กระจก พัดด้ามเล็ก ๆ ถือว่าเป็นเครื่องประดังอีกอย่างหนึ่ง การแต่งกายของวัยรุ่นผู้ชายนั้นพบว่านิยมโกรกผมด้วยสีเจ็บ ๆ ไม่แพ้ผู้หญิง ส่วนเสื้อผ้ามีหลายแนว ทั้งแบบพั้งก์ เป็นกางเกงและเสื้อหนังรัดรูป หรือแร็พ ที่จะแต่งตัวแบบสวมกางเกง และเสื้อตัวใหญ่ แต่นิยมมากเป็นพิเศษก็คือการเจาะตามร่างกายเพื่อใส่เครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ดั้งจมูก รูจมูก ปาก ลิ้น คาง และสะดือ แฟชั่นสไตล์นี้ วัยรุ่นไทยเลียนแบบหลาย ๆ แห่ง แต่ที่นิยมและรับเป็นต้นแบบ มักมาจากหนังสือแม็กกาซีนวัยรุ่นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งบางรายเคยเดินทางไปต่างประเทศมาบ้าง จึงได้นำมาแต่งกาย ถือว่าสนุกดี :)




บางกลุ่มตั้งเป็นแก๊งนัดกันไปอวดโฉมกันตามสถานที่ต่าง ๆ ที่แวะไปโฉบบ่อยที่สุดก็ คือตลาดนัดสวนจตุจักร และสยามสแควร์ เพราะมีแฟชั่นอื่น ๆ ได้ดูด้วย เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ยังได้รับความสนใจจากคนอื่น ๆ ที่บางรายจะเข้ามาสอบถามต่าง ๆ โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม สามารถแต่งกายได้ตามสบาย เพราะไม่ต้องไปโรงเรียน ถ้ามองด้วยความระมัดระวังแล้ว ถือว่าช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงปิดเทอมที่ยาวนาน 2-3 เดือน พ่อแม่ผู้ปกครองควรระมัดระวัง บุตรหลานของตนให้ดี เพราะอาจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีได้ บรรยากาศการอวดโฉมหลุดโลกของวัยรุ่นเหล่านี้คึกคักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จุดประสงค์ส่วนใหญ่ของวัยรุ่นเหล่านั้นคือมาโชว์เสื้อผ้าการแต่งกายของตัวเองเท่านั้น โดยจะรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ เดินไปเดินมา จับกลุ่มนั่งพูดคุยกันเป็นชั่วโมง บางรายที่แต่งตัวมาเต็มที่ ไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวที่ไหน แต่ต้องการจะมานั่งกินไอศกรีมกับเพื่อน ๆ เท่านั้นเอง
การแต่งตัวแบบนี้ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะโดยพื้นฐานของพวกที่ชอบแต่งกายแปลก ๆ ต้องการจะเรียกร้อง ความสนใจจากคนรอบข้าง เมื่อความรู้สึกเช่นนี้เพิ่มมากขึ้น จะแสดงออกมาด้วยการทำ ให้ตัวเองเจ็บปวด ด้วยวิธีที่พิสดารต่าง ๆ เช่น เอาเข็มมาทิ่มหู เจาะจมูก เจาะลิ้น ทำแล้วจะรู้สึกสะใจ ที่เห็นคนอื่นมองหรือให้ความสนใจ จะเข้าทำนองพวกนิยมความรุนแรง หากปล่อยไว้ เด็กจะไม่เพียงทำร้ายตัวเอง แต่จะเริ่มทำร้ายผู้อื่นมากขึ้นด้วย .


วิธีแก้ไข จะพึ่งพ่อแม่ฝ่ายเดียว คงไม่ได้ เพราะพ่อแม่เอง คงจะตามลูกไม่ทันแล้ว เนื่องจากมีสื่อต่าง ๆ เข้ามามาก ทำให้วัฒนธรรมตะวันตก เข้ามาครอบงำวัยรุ่น เรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของรัฐมากกว่า โดยแทนที่จะเน้นเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ ก็หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องวัฒนธรรมด้วย ทางที่ดีควรตั้งเป็นกระทรวงวัฒนธรรม ให้มีนักวิชาการคอยทำหน้าที่ กลั่นกรองสื่อต่าง ๆ ก่อนจะไปถึงประชาชน รวมทั้งชี้แนะว่าสิ่งใดควรรับ สิ่งใดไม่ควรรับ เพราะวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามา มีทั้งสิ่งดีและไม่ดีปนกัน ดังนั้นในการเลือกรับ เราต้องรู้จักแยกแยะ และใช้วิจารณญาณ จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์